svasdssvasds

"วิโรจน์" อภิปรายไม่ไว้วางใจ "แพทองธาร" มีพฤติกรรมส่อเลี่ยงภาษี

"วิโรจน์" อภิปรายไม่ไว้วางใจ "แพทองธาร" มีพฤติกรรมส่อเลี่ยงภาษี

"วิโรจน์" อภิปรายไม่ไว้วางใจ "แพทองธาร" มีพฤติกรรมส่อเลี่ยงภาษี ทั้งโอนหุ้น 2 บริษัทให้แม่-พี่สาว พ่วงชำแหละเงื่อนปมใหญ่ออกตั๋ว PN 9 บริษัท 4.4 พันล้าน

วันนี้ (24 มี.ค. 2568) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในการประชุม โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ได้อภิปรายตอนหนึ่งถึงกรณีการโอนหุ้นของ น.ส.แพทองธาร ให้แก่มารดา และพี่สาว รวมถึงการแจ้งบัญชีทรัพย์สินมีหนี้เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) กว่า 4.4 พันล้านบาท ส่อเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษี ใช้เป็นเครื่องมือทำนิติกรรมอำพราง ในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินหรือไม่ โดยระหว่างการอภิปราย มี สส.พรรคเพื่อไทย และ สส.ปชน. ต่างลุกขึ้นประท้วง ตอบโต้กันบางส่วนด้วย 

โอนหุ้น 2 บริษัทให้ "แม่-พี่สาว" เสียภาษีหรือไม่

นายวิโรจน์ อภิปรายเริ่มจากกรณีการโอนหุ้นหลังเข้ารับตำแหน่งนายกฯ กรณีเมื่อ 18 ส.ค. 2567 โอนหุ้นในบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด จำนวน 22,410,00 หุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท ให้แก่มารดา (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) และเมื่อ 5 ก.ย. 2567 โอนหุ้นบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 16,949,990 หุ้น มูลค่า 169.4 ล้านบาท ให้แก่ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (พี่สาว) 

นายวิโรจน์ อภิปรายว่า ถ้าการโอนหุ้นดังกล่าว เป็นการให้แม่ และพี่สาว ซึ่งในฐานะผู้รับ มีภาระในการจ่ายภาษีการรับให้ โดยกรณีแม่ ภาษีการรับให้ที่ต้องจ่ายให้รัฐ 10.2 ล้านบาท ส่วนพี่สาว มีหน้าที่เสียภาษีการรับให้เช่นเดียวกัน คิดเป็นเงิน 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ภาษีการรับให้ 18.2 ล้านบาท ต้องถาม น.ส.แพทองธาร ในฐานะนายกฯว่า รัฐจะได้รับภาษีการรับให้ 18.2 ล้านบาทก้อนนี้หรือไม่ แต่ไม่เป็นไรภายใน 31 มี.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการจ่ายภาษี ประเทศนี้ก็จะรู้

 

เปิดปมตั๋ว PN 9 บริษัท 4.4 พันล้านบาท

นายวิโรจน์ อภิปรายอีกว่า อีกประเด็นที่ต้องตั้งคำถามคือ น.ส.แพทองธาร มีพฤติการณ์ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย นิติกรรมอำพราง ในการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้ตั้งแต่ปี 2559 หรือแต่เดิมก่อนมีภาษีการรับให้ การโอนหุ้นให้คนนี้ การยักย้ายถ่ายเทซุกหุ้น อ้างว่าให้โดยเสน่หา ภาษีไม่ต้องเสียสักสลึง แต่พอแก้ภาษีประมวลรัษฎากร ภาษีการรับให้เมื่อปี 2558 บังคับใช้ 1 ก.พ. 2559 หมายความว่า ตั้งแต่ 1 ก.พ. 2559 เป็นต้นไป ตามประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 42 (27) เงินที่ได้จากการรับโดยเสน่หา จากบุพการี จะต้องได้รับการยกเว้นภาษีไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น หมายความว่า ลูกให้แม่ แม่ให้ลูก ถ้าเกิน 20 ล้านบาท ต้องเสียภาษีอัตรา 5% ส่วนมาตรา 42 (28) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ โดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือให้โดยเสน่หา หรือขนบธรรมเนียมประเพณี บุคคลไม่ใช่บุพการี หรือผู้สืบสันดาน ไม่เกิน 10 ล้านบาท หมายความว่า ถ้าพี่ให้น้อง น้องให้พี่ ลุงให้หลาน ถ้าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกินต้องเสียภาษีรับให้ 5%

ถ้าไม่อยากจ่ายภาษีรับให้ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะทยอยให้ ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท ถ้าอยากให้ทั้งก้อนตัดจบไปเลย ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ก็จ่ายภาษีรับให้อัตรา 5% ตรงไปตรงมา แทนที่แพทองธารจะทำเหมือนมนุษย์ทำกัน กลับใช้ช่องทางกฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษีรับให้ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เรื่องนี้ประชาชนทุกคน สามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สิน แพทองธาร ที่ยื่นรับตำแหน่งนายกฯ

 

รายงานข่าวระบุว่าตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้ เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีเงื่อนไขสุดว้าวมาก คือจะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเมื่อทวงถาม หมายความว่าหนี้สินทั้ง 9 รายการจากการซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นหนี้สินที่ไม่มีกำหนดว่าแพทองธารต้องจ่ายค่าซื้อหุ้นเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวงแพทองธารก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด แพทองธารไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยอะไร พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ในกงสีก็เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดีมากๆ ยอมนอนกอดกระดาษ 9 แผ่น โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาท จะได้คืนวันไหน

ถ้าตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบ มีรายละเอียดตามที่ผมว่า ก็แสดงว่าการซื้อหุ้นของแพทองธาร ชินวัตร จากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ในครั้งนี้ ต้องสงสัยว่ามีการใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือในการทำนิติกรรมอำพราง ทำธุรกรรมการซื้อปลอม ตบตาการได้หุ้นจากการให้ เป็นการซื้อหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ ที่ต้องจ่ายให้กับแผ่นดิน เป็นพฤติกรรมที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนเอาเปรียบสังคม เม้มผลประโยชน์ของชาติ บ่อนทำลายการพัฒนาประเทศ
 
มาดูตั๋ว PN ทั้ง 9 ฉบับตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งหมดเป็นการออกตั๋ว PN หลังจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นวันที่ภาษีการรับให้ มีผลบังคับใช้ทั้งสิ้น

ผมจึงอยากชวนให้ท่านประธาน มาดูพฤติการณ์การซื้อหุ้นของแพทองธาร ชินวัตร กันแบบช้าๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แล้วให้ประชาชนทั้งประเทศ มาพิจารณาร่วมกันว่า จริงๆ แล้วแพทองธาร ซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ กันแน่
 
แพทองธารได้หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท มาจากพี่สาว โดยเป็นการซื้อเชื่อ โดยที่แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่สาวเลยแม้แต่บาทเดียว ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 4 ใบ ให้พี่สาวไปนอนกอด หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท เปลี่ยนมือจากพี่สาว ไปอยู่ในมือของแพทองธาร ชินวัตร เป็นที่เรียบร้อย โดยพี่สาวเป็นเจ้าหนี้ที่แสนดี ไม่กำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่สาวเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่สาวก็ไม่คิด นี่คือการซื้อหุ้นจากพี่สาว หรือเจตนาแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่สาวกันแน่
 
กรณีพี่ชายก็เหมือนกัน แพทองธารได้หุ้นมูลค่า 335.4 ล้านบาท มาจากพี่ชาย โดยการซื้อเชื่อ โดยที่แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่ชาย เพียงแต่ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 1 ใบ ให้พี่ชายเก็บเอาไว้ ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่ชายเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่ชายก็ไม่คิด ตกลงแล้วมันคือการซื้อหุ้นจากพี่ชาย หรืออันที่จริงแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่ชาย กับลุง กับป้าสะใภ้ และกับแม่ ก็ทรงเดิม แพทองธารได้หุ้นมาจากลุงมูลค่า 1,315.5 ล้านบาท ได้หุ้นมาจากป้าสะใภ้มูลค่า 258.4 ล้านบาท และได้หุ้นมาจากแม่มูลค่า 136.5 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อเชื่อ แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับลุง ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับป้าสะใภ้ ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับแม่ แต่ออกตั๋ว PN ให้ลุงเอาไปกอด 2 ใบ ให้ป้าสะใภ้ และแม่ไปเก็บไว้ใต้หมอนคนละใบ อย่างนี้ตกลงเป็นการซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาจากการให้ ของ ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ กันแน่…”

จุดแตกต่างระหว่าง ‘การได้หุ้นจากการให้’ กับ ‘การซื้อหุ้น’

วิโรจน์อธิบายว่าจุดแตกต่างระหว่าง ‘การได้หุ้นจากการให้’ กับ ‘การซื้อหุ้น’ ก็คือ ถ้าแพทองธาร ชินวัตร ได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ แพทองธาร ก็ต้องเสีย ‘ภาษีการรับให้’ ให้กับรัฐ แต่ถ้าแพทองธาร ชินวัตร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ แพทองธารก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และเนื่องจากหลักเกณฑ์การรับรู้รายได้ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะใช้เกณฑ์เงินสด ซึ่งรายได้จะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ก็ต่อเมื่อมีการรับเงินสดจริง 

ดังนั้นการที่แพทองธาร จ่ายค่าหุ้นที่ซื้อด้วยตั๋ว PN ที่ไม่ได้มีการจ่ายเงินกันจริง จะจ่ายกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลยแม้แต่บาทเดียว และต่อให้มีการจ่ายค่าซื้อหุ้นกันในภายหลัง พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอยู่ดี เพราะตามมาตรา 40(4)(ช) ของประมวลรัษฎากรกำหนดว่า รายได้จากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะส่วนเกินจากมูลค่าหุ้น (Capital Gain) หรือกำไรจากการขายหุ้นเท่านั้น จึงจะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ดังนั้นหากกงสี ขายหุ้นให้แพทองธารในราคาพาร์ หรือราคาทุน พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลย สลึงเดียวก็ไม่กระเด็นออกจากกงสี

และเมื่อคำนวณรวมแล้ว แพทองธาร ชินวัตร ใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้เป็นเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท

วิโรจน์อภิปรายทิ้งท้ายว่า “...หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ในมาตรา 50(9) ของรัฐธรรมนูญ ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ ลำพังแค่จะทำหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทย แพทองธาร ชินวัตร ยังทำให้ดี ทำแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ แล้วจะมีหน้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีของประชาชนคนไทยได้อย่างไร
 
ตามมาตรา 160(4) ของรัฐธรรมนูญ ระบุเอาไว้ว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมาตรา 160(5) นายกรัฐมนตรีจะต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมาตรฐานทางจริยธรรมตามมาตรา 160(5) นั้น ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 วรรคสอง กำหนดให้นำมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระรวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 มาใช้บังคับแก่คณะรัฐมนตรี โดยในหมวด 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ข้อ 7 ต้องถือประโยชน์ประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน พฤติกรรมการหนีภาษีการรับให้ 218.7 ล้านบาท ที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบประเทศชาติ ล้วนชี้ชัดได้ว่า บุคคลคนนี้มีจิตละโมบ ที่คอยคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเลย
 
ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น การหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีของแพทองธาร ชินวัตร นี่หรือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต พฤติกรรมแบบนี้ คือ การใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ใช้เล่ห์เพทุบาย ในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ อย่างไม่รู้จักละอาย คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว เป็นเหลือบลิ้นไรกัดกินผลประโยชน์ของประชาชน ไม่สมควรที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป
 
หมวด 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ 12 ยึดมั่นในหลักนิติธรรม และประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่พื้นฐานของประชาชนทุกคนในประเทศนี้ แค่นี้แพทองธาร ชินวัตร ยังทำไม่ได้ ถ้าพฤติกรรมการหนีภาษีของบุคคลคนนี้ เรียกว่าอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี แล้วถ้าประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน เกิดไปเอาเยี่ยงเอาอย่าง ประเทศชาติ มีหวังล่มสลายแน่นอน
 
ข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงภาษีของ แพทองธาร ชินวัตร สะท้อนได้ว่าคนๆ นี้ ไม่มีความยึดมั่นในกฎหมายเลย วันๆ คิดแต่จะหาช่องหาหลืบของกฎหมาย กระทำการอย่างไร้ความละอาย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบประเทศชาติ นายกหนีภาษีแบบนี้ หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ไม่ใช่แค่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง แต่ถึงขั้นเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของประเทศชาติ เราจะบอกกับประเทศอื่นๆ ยังไง ว่าประเทศไทยของเรามีนายกหนีภาษี รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
 
ทั้งนิติกรรมอำพราง ที่ใช้ตั๋ว PN หนีภาษีการรับให้มูลค่า 218.7 ล้านบาท ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า คนอย่างแพทองธาร ชินวัตร มีแต่ความทุจริตเป็นที่ประจักษ์ วันๆ เอาแต่เสาะหาช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้กับตนเอง จุ๊บๆ จิ๊บๆ ก็เอา เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เว้นหนีภาษีแบบนี้ ไม่ใช่แค่เป็นนายกไม่ได้นะครับ เป็นแค่คนปกติก็ยังเป็นไม่ได้ แพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่แค่ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะลุก เดิน ยืน นั่ง ในทำเนียบรัฐบาล แม้แต่ตามถนนหนทาง ตามตรอกซอกซอย ในประเทศนี้ คนหนีภาษีอย่างแพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่มีหน้าที่จะเดินหน้าตั้ง คอตรง สู้หน้าประชาชนได้อีกต่อไป

นายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่งแล้ว ยังต้องดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคนหนีภาษีอย่างแพทองธาร ชินวัตร ยังจะกล้าแบกหน้าไปนั่งประชุมนั่งหัวโต๊ะคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติอยู่อีกหรือครับ

พฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษีของ แพทองธาร ชินวัตร หลังจากนี้จะต้องมีการร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. แน่ๆ ซึ่ง ป.ป.ช. มีอำนาจตามมาตรา 234 ของรัฐธรรมนูญ ในการไต่สวนและมีความเห็นต่อกรณีที่แพทองธาร ชินวัตร ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และพิจารณาส่งสำนวน และความเห็นของ ป.ป.ช. ไปที่ศาลฎีกาต่อไป ผมเชื่อว่าพฤติกรรมเช่นนี้ แพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่รอด
 
ผมเป็นห่วงก็แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะยกมือไว้วางใจคนอย่างแพทองธาร ชินวัตร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะในหมวด 2 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ 19 การคบหาสมาคมกับผู้ประพฤติผิดกฎหมาย หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้ที่มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ ก็อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน ถ้ามีคนไปร้อง ส.ส.ที่ยกมือให้แพทองธาร ก็อาจจะเข้าปิ้งตายตกตามแพทองธารไปด้วย

แพทองธาร ชินวัตร การเสียภาษีอย่างถูกต้อง เป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุด คนๆ นี้ ยังทำอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ ประชาชนเขาหวังฝากความหวังไว้กับผู้นำ แต่กลับได้โจรใส่อาภรณ์ขุนนางสวมรองเท้าไข่มุก ปากที่ตัวเองเคยพูดว่ามีกินมีใช้ ไปพร้อมๆ กัน ที่แท้ก็คือการหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้มีกินกันเฉพาะกงสี ให้ได้อิ่มหมีเฉพาะตระกูล แพทองธาร ชินวัตร นายกหนีภาษี ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแล้ว”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related