ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่อง “การท่องเที่ยวทางเพศ (Sex tourism) ” มานาน รวมถึงยังเป็นตลาดค้าประเวณีอันดับต้นๆ ของโลก แต่ถึงธุรกิจนี้จะมีชื่อเสียงระบือไปไกลขนาดไหน การค้าบริการทางเพศก็ยังคงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และทำให้ประเทศประเทศไทยเสื่อมชื่อเสียงจากคดีค้ามนุษย์
เว็บไซต์ GITNUX แพลตฟอร์มแบ่งปันข้อมูลเชิงลึก ได้จัดทำสถิติภายใต้หัวข้อ “การค้าประเวณีในประไทย” โดยรวบรวมจากสำนักข่าวต่างๆ อีกที ซึ่งพบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
มีการประเมินคร่าวๆ ว่ามี “ผู้ให้บริการทางเพศ (Sex Woker)" ประมาณ 200,000 ถึง 300,000 คนใน โดย ประมาณ 40% ของบุคคลเหล่านี้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในขณะที่ 14% ของชายไทยออกมายอมรับว่าเคยจ่ายเงินเพื่อซื้อบริการทางเพศอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต
โดยอุตสาหกรรมนี้มีส่วน 2-14 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ทั้งประเทศ และผู้ให้บริการทางเพศส่วนใหญ่มักทำ ร้านนวดหรือสถานประกอบการอื่นๆ ที่เสนอบริการที่คล้ายกัน
กว่า 70% ของหญิงให้บริการทางเพศมาจากพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำมีส่วนผลักดันให้คนกลุ่มนี้เข้ามาสู่ธุรกิจค้าบริการมากกว่าเหตุผลด้านศีลธรรม เพราะผู้ให้บริการทางเพศจำนวนมากไม่ได้ยินดีทำธุรกิจนี้ตั้งแต่แรก แต่ต้องทำเพราะมีความจำเป็น เนื่องจากในพื้นที่ต่างจังหวัดไม่มีงานดีๆ ให้พวกเขาดำรงชีพได้
กว่า 30% ของหญิงให้บริการทางเพศติดเชื้อ HIV ซึ่งสถิตินี้ได้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของธุรกิจค้าประเวณีในไทย และผู้หญิงที่ให้บริการทางเพศเกือบทั้งหมด ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรด้านการดูแลสุขภาพ รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ปลอดภัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ผู้ชายที่ใช้บริการส่วนใหญ่ยังปฏิเสธที่จะสวมถุงยางขณะใช้บริการอีกด้วย
กว่า 43% ของผู้ให้บริการทางเพศรายงานว่า เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่ผู้ให้บริการทางเพศต่างเลือกที่จะเก็บเงียบ เนื่องจากการค้าประเวณีนั้นผิดกฎหมายไทยอยู่แล้ว และดูเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพและให้เกียรติเหมือนกับอาชีพอื่นๆ
อายุของผู้ให้บริการทางเพศเฉลี่ยอยู่ที่ 20-24 ปี สถิตินี้บ่งชี้ถึงจุดเด่นที่ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาไทย เพราะมีแต่ที่นี่เท่านั้นที่สามารถให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อบริการทางเพศจากคนอายุน้อยได้มากมายก่ายกอง นอกจากนั้น ว่าอุตสาหกรรมนี้น่าจะเป็นอาชีพระยะยาวของคนอายุน้อย เนื่องจากทำจนชิน และขาดแคลนทักษะในการประกอบอาชีพอย่างอื่น
เรื่องนี้สะท้อนถึงอำนาจเงินที่สามารถซื้อได้ทุกอย่างในประเทศไทย ทั้งซื้อบริการเด็กที่เต็มใจและไม่เต็มใจ ซื้อสื่อลามกเกี่ยวกับเด็ก หรือติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อหลุดพ้นความผิด ซึ่งล้วนเป็นการกระทำที่สร้างภาพลักษณ์ด้านลบให้กับประเทศ และเป็นปัญหาหมักหมมที่ต้องแก้ไขให้เด็ดขาด
มีการประเมินว่า การท่องเที่ยวทางเพศในไทย สร้างรายได้ประมาณ 6.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หรือคิดเป็น 3% ของ GDP ประเทศ
ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร) เผยสถิติคดีค้ามนุษย์ - ค้าประเวณี ปี 67 มีทั้งหมด 251 คดี แบ่งเป็นดังนี้
ค้าประเวณี 163 คดี
ผลิตหรือเผยแพร่ วัตถุ สื่อลามก 34 คดี
แสวงหาผลประโยชน์ ทางเพศรูปแบบอื่น 8 คดี
บังคับใช้แรงงาน / นำมาเป็นทาส / ขูดรีด / ประมง 39 คดี
นำคนมาขอทาน 3 คดี
แรงงานบังคับ (ม.6/1) 3 คดี
ขัดขวางการดำเนินการคดีค้ามนุษย์ (ม.54) 1 คดี
ทั้งหมดทั้งมวลนี้แสดงให้เห็นว่า แม้การค้าประเวณีในไทยจะสร้างเม็ดเงินได้มากมาย แต่ขณะเดียวกันธุรกิจที่อยู่ในเงามืดนี้ ทำให้เกิดปัญหามากมาย ทั้งสร้างแหล่งแพร่กระจายโรคติดต่อ เป็นแหล่งมั่วสุมของยาเสพติด รวมถึงเป็นแหล่งรายได้ผิดกฎหมายของเจ้าหน้าที่ และส่งเสริมให้การก่ออาชญากรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนสร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของประเทศ
สำหรับวิธีแก้ไข หลายๆ ฝ่ายเสนอให้ “อาชีพให้บริการทางเพศ” ถูกกฎหมายไปเลย เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจลักษณะนี้ไม่สามารถเอารัดเอาเปรียบผู้ให้บริการทางเพศได้ ตำรวจไม่สามารถเรียกรับสินบนได้ รัฐมีรายได้มากขึ้น และผู้ให้บริการทางเพศจะได้รับสวัสดิการและการคุ้มครองเท่าเทียมกับอาชีพอื่นๆ ในสังคม
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง และคงต้องมีการถกเถียงกันต่อไป แต่เรื่องค้าประเวณีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่กลับพบได้ปกติในประเทศไทย ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าหน้าที่ต้องแก้ปัญหาอย่างจริงจัง มิฉะนั้นแล้ว ข่าวแบบ “สื่อเยอรมัน ตีแผ่ค้าบริการเด็กไทย แต่รอดได้ด้วยการติดสินบนเจ้าหน้าที่” ก็จะมีมาให้เห็นอีกเรื่อยๆ ซึ่งครั้งหน้าจะเป็นประเทศไหน และจะมาตีแผ่เรื่องอะไรเพิ่มอีก ประชาชนคนไทยก็คงทำได้แต่ก้มหน้ายอมรับ แล้วพูดว่า “ประเทศกูมี”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง