"พัฒนา พร้อมพัฒน์" ปัดเอี่ยว ขายตึกประกันสังคม SKYY9 7,000 ล้านบาท

จากกรณีการใช้งบประมาณกองทุนประกันสังคม ของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) นำเงินราว 1 หมื่นล้านบาท ไปตั้ง “กองทุนทรัสต์” โดย 3 พันล้านบาทไปลงทุนในต่างประเทศ อีกเฉียด 7 พันล้านบาท ไปซื้อ “บริษัท” ที่มีหนี้สินราว 2 พันล้านบาท เพื่อให้ได้มาซึ่งอาคาร Skyy9 บริเวณพระราม 9 ถ.อโศก-ดินแดง ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนในสังคม

อาคารดังกล่าวถูกสร้างช่วงปี 2540 กระทั่งเจอ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ทำให้การก่อสร้างอาคารไม่แล้วเสร็จ ถูกทิ้งร้าง และปล่อยให้เป็นหนี้เสียหรือ NPL ต่อมามีการซื้อขายเปลี่ยนมือกัน จนไปอยู่ในมือของ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด มหาชน (BAM) หลังจากนั้นมี “กลุ่มทุนห้างสรรพสินค้าชื่อดัง” ไปซื้อต่อมาด้วยวงเงินราว 1,000 ล้านบาท และมีการนำมารีโนเวท เป็นตึก I.C.E. Tower

ปี 2562 มีการขายต่อให้กับบริษัท แคส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด ซื้อมารีโนเวท ภายใต้ชื่อใหม่ Cas Centre โดยทำการรื้อหรือทุบบางส่วนออก และทำใหม่ โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จมีมูลค่าของตึกราว 2.2 พันล้านบาท และค่าที่ดินราว 1.5 พันล้านบาท รวมมูลค่าราว 3.7 พันล้านบาท ณ ช่วงเวลานั้น

ปลายปี 2565 “แคส แคปปิตอล” ได้ขายต่อให้กับ “กองทุนทรัสต์” ของสำนักงาน สปส. โดยมีขั้นตอนคือ “กองทุนทรัสต์” ไปถือหุ้นใหญ่บริษัท ไพร์ม เซเว่น จำกัด และเข้าซื้อสินทรัพย์ในบริษัท เอจีอาร์อี101 จำกัด ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไพร์ม ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด ที่เป็นเจ้าของอาคาร Skyy9 ในปัจจุบัน

ในช่วงซื้อขายเปลี่ยนมือหลายบริษัทนั้น ในปี 2561 ที่ บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ขายต่อให้กับบริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ซึ่งข้อมูลนี้ตรงกับข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบหลายแหล่งว่า BAM ขายต่อให้ “กลุ่มทุนห้างสรรพสินค้าชื่อดัง” ด้วยวงเงินราว 1,000 ล้านบาท และมีการนำมารีโนเวท เป็นตึก I.C.E. Tower

ก่อนที่ “วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน” ขายต่อให้บริษัทลูกของ “แคส แคปปิตอล” เมื่อปี 2562 คือ บริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด และ “แคส แคปปิตอล” ได้ขายต่อให้ “กองทุนทรัสต์” สปส.เข้าไปลงทุน ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นอาคาร Skyy9 ในปัจจุบัน

ล่าสุดวันนี้ (20 มีนาคม 2568) บริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด แถลงข่าวชี้แจงประเด็นอาคาร SKYY9 (ICE Tower) โดยมีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ผู้บริหาร บริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ลูกชายของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกแถลงชี้แจง

หลังมีกระแสข่าวว่าสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้เข้าซื้ออาคาร Skyy9 (เดิมชื่อ Cas Capital หรือ ICE Tower) ในมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยมีข้อสงสัยว่า เป็นการซื้อจากบริษัทของเขา โดยเผยว่า บริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ซึ่งตนเองเป็นผู้ดูแลอยู่ และเคยเป็นเจ้าของอาคารดังกล่าว โดยเข้าซื้อเมื่อปี 2560 ขณะนั้นอาคารอยู่ในสภาพร้างและทรุดโทรม หลังจากถือครองได้ระยะหนึ่ง บริษัทมีแผนจะปรับปรุงอาคารให้กลับมาใช้งานได้ แต่ได้รับข้อเสนอจากนักลงทุนหลายรายที่สนใจซื้อไปพัฒนา

ต่อมาในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 บริษัท วอเตอร์เกทฯ ได้ทำข้อตกลงขายอาคารนี้ให้กับ บริษัท เอจีอาอี 101 จำกัด ซึ่งเป็นกองทุนจากต่างประเทศที่ระดมทุนจากผู้มีเงินลงทุนหลายราย และโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินทั้งหมดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ในมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท

หลังจากโอนกรรมสิทธิ์ให้บริษัท เอจีอาอี 101 แล้ว นายพัฒนา เผยว่า ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอีก และไม่ทราบว่าหลังจากนั้นอาคารถูกขายต่อให้ใครในราคาเท่าใด และไม่เคยพบ ไม่เคยเจอ ไม่รู้จักผู้ใดในสำนักงานประกันสังคม ทั้งกรรมการและผู้มีอำนาจในกระทรวงแรงงาน

จากกระแสข่าวที่บอกว่า ตนเป็นผู้ขายหรือเกี่ยวข้องกับการขายอาคารหลังนี้ให้กับ สปส. ซึ่งไม่เป็นความจริง และการที่ผู้ซื้อนำไปพัฒนา และรีโนเวทจนเกิดความสวยงามสามารถใช้ประโยชน์ได้จากเดิมที่เป็นสภาพที่โทรมนั้น รวมถึงมีการใช้เงินพัฒนาและรีโนเวทไปหลายพันล้านแล้วเพื่อขายต่อไป ตนเองยืนยันว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิงจะมีกำไรหรือขาดทุนตนเองก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะที่ นายพัฒนา เป็นผู้บริหาร ก่อนที่จะไปซื้อตึกนี้มองเห็นอะไรในตึกนี้ถึงเลือกที่จะลงทุน นายพัฒนา เผยว่า อาคารหลังนี้เป็นอาคารที่ค่อนข้างใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 100,000 ตารางเมตร สภาพในอดีตทรุดโทรม แต่อยู่ในโลเคชั่นที่ดี มองว่าน่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนได้ แต่เก่ามากก็เลยจำเป็นต้องมีการรีโนเวทเท่านั้นเอง

เมื่อถามถึงมุมมองในเรื่องของเงินการซื้อขายต่ออีกทอดให้ สปส. ในมูลค่านั้น นายพัฒนา ตอบว่า ขอไม่อนุญาตออกความเห็น แต่ในการลงทุนมีหลายอย่างในการที่ต้องพิจารณาในการซื้อสินทรัพย์ในแต่ละชิ้นคงจะให้ตัวเองตอบแบบผ่านๆไม่ได้ แต่ในขณะนั้นบริษัทวอเตอร์เกทฯ ได้ทำข้อตกลงขายอาคารนี้ให้กับ บริษัท เอจีอาอี 101 จำกัด ประมาณ 2000 ล้านบาท ซึ่งในตอนนั้นผู้ซื้อมีการจ่ายเงินจบในก้อนเดียว