SHORT CUT
ผู้ป่วยจิตเวช ไม่ทำร้ายคนอื่น แพทย์แนะสังคมเปิดรับ ทำความเข้าใจ เพราะโรคนี้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้ปกติ แค่ป่วยควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ศูนย์รับซ่อมโทรศัพท์มือถือ I Care ภายในห้างเซ็นทรัลขอนแก่น ชั้น 3 มีชายสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีเทา และสะพายกระเป๋าสีเทาคาดน้ำตาล นำโทรศัพท์มือถือมาติดต่อซ่อม โดยพนักงานหญิงได้แจ้งว่าเครื่องติดรหัส Apple ID ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ
พนักงานได้แนะนำให้ลูกค้าชายติดต่อฝ่ายซัพพอร์ตและเสนอให้นั่งโทรศัพท์ที่ศูนย์ซ่อม แต่ลูกค้าชายปฏิเสธ ลูกค้าชายบ่นว่า "หลายรอบแล้ว" ก่อนจะทุบโทรศัพท์ลงบนเคาน์เตอร์ของพนักงานและพูดซ้ำว่า "หลายรอบแล้วครับ" หลังจากนั้น ลูกค้าชายได้ตะโกนโวยวายเสียงดังอยู่ด้านนอกศูนย์ซ่อม ทำให้พนักงานต้องปิดประตูเพื่อความปลอดภัย ลูกค้าชายลงบันไดเลื่อนไปยังชั้น 2 และทำลายรถเข็นของห้างด้วยอาการคลุ้มคลั่ง
การที่ลูกค้าแสดงอาการไม่พอใจและทำลายทรัพย์สิน ถูกตีตราว่ามีปัญหาด้านสุขภาพจิตทำให้เกิดความรุนแรง โดยข่าวระบุว่ามีประวัติการรักษาอาการทางจิต แต่ความจริงแล้วอาจไม่ใช่เช่นนั้น
ดร.นพ.วรตม์ โชติพิยสุนนท์ แพทย์เฉพาะทางด้าน จิตเวชเด็กและวัยรุ่น กล่าวว่าปัญหาโทรศัพท์ล็อกอาจไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้ต้องไปทำลายหรือทำร้ายใคร แต่ตัวกระตุ้นเล็กที่กระทบจิตใจอาจทำให้คนที่เจ็บป่วยทางจิตใจอยู่แล้ว มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ อาจเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการระเบิดทางอารมณ์ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
จากประวัติของผู้ต้องหาที่บอกว่ามีอาการทางจิต ต้องไปดูอีกทีว่าอาการทางจิตที่ว่าคืออาการอะไร และเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเปล่า
นพ.วรตม์ เผยว่า ผู้ป่วยทุกคนสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้ส่วนมากในชีวิตประจำวันคน 1 ใน 8 ป่วยด้านสุขภาพจิตใช้ชีวิตร่วมกับเราตามปกติ คนที่ก่อความรุนแรงจำนวนมากเกือบทั้งหมดไม่ได้มีอาการป่วยทางจิต คนที่ป่วยทางจิตแล้วทำร้ายคนอื่นมีส่วนน้อยเท่านั้น
เมื่อถามว่าเราจะอยู่ร่วมกับคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตอย่างไร เราก็อยู่กับเขาตามปกติไม่ได้มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าหากเราทราบว่าเขากำลังรักษาโรคทางจิตเวชอยู่ แล้วสังเกตว่าเขามีอาการไม่คงที่ ขาดยารักษาต่อเนื่อง ต้องแนะนำให้เขากลับไปรักษาต่อปรับยาเพื่อให้สามารถจัดการละควบคุมตนเองได้ นพ.วรตม์ กล่าว
นพ.วรตน์ เสนอแนะว่า การกำกับดูแลความรุนแรงในสังคมต้องเริ่มจากเราช่วยกันสอดส่องมองหา โดยความรุนแรงขนาดใหญ่มักนำมาด้วยความรุนแรงขนาดเล็กเสมอ
ด้าน นพ.อภิชาติ จริยาวิลาศ แพทย์เฉพาะทางด้าน จิตเวชศาสตร์ เผยว่า เราไม่สามารถวิเคราะห์จากข่าวได้ สิ่งที่ควรทำคือการสัมภาษณ์เขาโดยตรง คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต อาจไม่ได้รับยาหรือได้รับการรักษาที่ต่อเนื่อง ทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะทำร้ายตนเองมากกว่าทำร้ายผู้อื่น
นพ.วรตน์ กล่าวว่า กรณีที่มีการทุบทำลายห้าง อาจมีความรุนแรงเล็กๆ นำมาก่อน ถ้าเราเห็นเราควรหาวิธีเข้าไปจัดการ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดความรุนแรงที่ใหญ่ขึ้น หากเป็นคนใกล้ตัวเราเราต้องรับฟังเขา ต้องดูว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร เขาอยากให้เราช่วยอย่างไรบ้าง สุดท้ายคือการส่งต่อเชื่อมโยง แนวโน้มที่จะมีความรุนแรงต่อตนเองและคนอื่น เราควรส่งต่อไปหาผู้เชี่ยวชาญ
ขณะที่ นพ.อภิชาติ เผยว่า คนที่มีปัญหาสุขภาพจิตอาจไม่เคยตรวจวินิจฉัยโรค สิ่งที่ถูกต้องควรต้องเข้าพบแพทย์ พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ขณะเดียวกันคนที่เป็นจิตเวช ต้องงดคาเฟอีน รวมถึงแอลกอฮอล์ ด้วย
นพ.วรตน์ กล่าวว่าอยากจะให้ช่วยทำความเข้าใจกับผู้ป่วยด้านจิตเวช ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยด้านจิตเวชจะไม่อยากไปรักษา หรือคนที่ไม่เคยไปรับคำวินิจฉัยว่าตนเองป่วย ก็อาจคิดไปก่อนว่าตนเองไม่ป่วยไม่อยากถูกตีตราจากสังคม เพราะการตีตราว่าเขาป่วยนั้นส่งผลกระทบมากมาย
หลายคนที่ก่อเหตุความรุนแรงมากๆ สุดท้ายมีจำนวนหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่ไม่ยอมไปรักษาจริงๆ เพราะฉะนั้นเรามองว่าคนไข้ทางจิตเวชไม่ก่อความรุนแรงกับสังคมมากนัก ส่วนใหญ่แล้วใช้ความรุนแรงกับตนเองเป็นหลัก ทำร้ายตัวเองจนเสียชีวิต ฉะนั้นเราควรโฟกัสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่จะตีตราว่าคนที่ป่วยจะเป็นคนที่ก่อความรุนแรง นพ.วรตน์ กล่าว
นพ.อภิชาติ แนะนำว่าหากเจอเหตุการณ์คนคลุ้มคลั่งหากเป็นคนไม่รู้จัก ต้องประเมินสถานการณ์ รวมทั้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือตำรวจ รวมทั้งอย่าไปตะโกนใส่ผู้ป่วย
ในการพิจารณาว่าผู้ป่วยควรได้รับการรักษาหรือควบคุม มีมาตรการและเกณฑ์ที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 โดยมีหลักการสำคัญดังนี้
ภาวะอันตราย: บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตแสดงพฤติกรรมที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของตนเองหรือผู้อื่น
ความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา: ผู้ป่วยที่ขาดความสามารถในการตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบำบัดรักษา และจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาโดยเร็วเพื่อป้องกันหรือบรรเทาไม่ให้ความผิดปกติทางจิตทวีความรุนแรง หรือเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือบุคคลอื่น
1.การตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการเบื้องต้น: เมื่อพบบุคคลที่มีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่ามีภาวะอันตรายหรือมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา จะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการเบื้องต้นภายใน 48 ชั่วโมง โดยแพทย์และพยาบาล
2.การตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการโดยละเอียด: หากผลการประเมินเบื้องต้นพบว่าผู้ป่วยมีภาวะอันตรายหรือมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา จะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการโดยละเอียดภายใน 30 วัน โดยคณะกรรมการสถานบำบัดรักษา
3.การพิจารณาของคณะกรรมการสถานบำบัดรักษา: คณะกรรมการสถานบำบัดรักษาจะพิจารณาจากผลการประเมินอาการ และมีอำนาจในการสั่งการเกี่ยวกับการบำบัดรักษา รวมถึงการให้ความยินยอมในการบำบัดรักษาทางกายแทน ในกรณีที่ผู้ป่วยขาดความสามารถในการตัดสินใจและไม่มีผู้ให้ความยินยอมแทน
ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา จะมีการประเมินความสามารถในการต่อสู้คดี โดยพิจารณาจาก
ความสามารถในการรับรู้กาล เวลา สถานที่ บุคคล และสิ่งต่างๆ รอบตัว
ความเข้าใจตระหนักรู้เรื่องราวของข้อกล่าวหา
ความสามารถในการเล่าเหตุการณ์ตามข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหา และความสามารถในการพูดคุยถามตอบได้ตรงคำถาม
ความสามารถในการรับรู้ถึงผลที่เกิดจากคดี
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง
เกณฑ์ในการพิจารณาผลการบำบัดรักษาผู้ป่วยคดี
เมื่อผู้ป่วยคดีได้รับการบำบัดรักษาแล้ว จะมีการประเมินผลการบำบัดรักษา โดยพิจารณาจาก
การยอมรับความเจ็บป่วยทางจิต
ความเข้าใจและสามารถในการรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ความเข้าใจและสามารถในการจัดการกับความเครียดซึ่งเป็นตัวกระตุ้นอาการของโรค
การมีผู้รับดูแลในชุมชน ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในการติดตามการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
การประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ที่ผู้ป่วยพักอาศัย หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการ กรณีไม่มีผู้รับดูแล
นอกจากนี้ ยังมีการใช้เกณฑ์ SMI-V (Serious Mental Illness with High Risk to Violence) เพื่อประเมินความเสี่ยงในการก่อความรุนแรงของผู้ป่วยทางจิต ซึ่งประกอบด้วย
SMI-V 1: มีประวัติทำร้ายตัวเองด้วยวิธีรุนแรงมุ่งหวังให้เสียชีวิต
SMI-V 2: มีประวัติทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีรุนแรง/ก่อเหตุรุนแรงทำให้หวาดกลัว สะเทือนขวัญในชุมชน
SMI-V 3: มีอาการหลงผิดมีความคิดทำร้ายตนเอง/ผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิต หรือมุ่งร้ายผู้อื่นแบบเฉพาะเจาะจง เช่น ระบุชื่อบุคคลที่จะมุ่งทำร้าย
SMI-V 4: เคยมีประวัติก่อคดีอาญารุนแรง (ฆ่า พยายามฆ่า ข่มขืน วางเพลิง)
มาตรการเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชเป็นไปอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงทั้งสิทธิของผู้ป่วยและความปลอดภัยของสังคม
การดูแลในชุมชน: ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงหรือไม่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น สามารถรับการดูแลในชุมชน โดยมีทีมสุขภาพจิตในพื้นที่ติดตามดูแล
การให้คำปรึกษา: การให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางจิตใจแก่ผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยจัดการกับอาการและใช้ชีวิตประจำวันได้
การติดตามการใช้ยา: หากผู้ป่วยต้องใช้ยา จะมีการติดตามเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง
การส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางสังคม: สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและได้รับการยอมรับจากชุมชน เพื่อลดการตีตราและส่งเสริมการฟื้นตัว
การบำบัดรักษาในสถานพยาบาล: ผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางอาจต้องได้รับการบำบัดรักษาในสถานพยาบาลของรัฐหรือสถานบำบัดรักษา ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยา การทำจิตบำบัด และกิจกรรมบำบัด
การประเมินอาการ: มีการประเมินอาการอย่างละเอียดโดยแพทย์และทีมสหวิชาชีพ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
การติดตามอย่างใกล้ชิด: มีการติดตามอาการและผลการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม
การคุ้มครองสิทธิผู้ป่วย: ผู้ป่วยได้รับการคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการได้รับการรักษาตามมาตรฐาน สิทธิในการรับรู้ข้อมูล และสิทธิในการปกปิดข้อมูลส่วนบุคคล
การนำส่งเข้ารับการบำบัดรักษา: ผู้ป่วยที่มีภาวะอันตรายหรือมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาตามมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติสุขภาพจิต จะต้องได้รับการนำส่งเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและบำบัดรักษาโดยพนักงานเจ้าหน้าที่
การควบคุมตัว: ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะอันตรายหรือมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น อาจต้องมีการควบคุมตัวเพื่อความปลอดภัย
การรักษาโดยคณะกรรมการสถานบำบัดรักษา: หากผู้ป่วยขาดความสามารถในการตัดสินใจและไม่มีผู้ให้ความยินยอมแทน คณะกรรมการสถานบำบัดรักษามีอำนาจในการให้ความยินยอมในการบำบัดรักษาทางกายแทน
การบำบัดรักษาต่อเนื่อง: ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่องและอาจต้องมีการติดตามดูแลในระยะยาว
การประเมินความเสี่ยง: มีการใช้เกณฑ์ SMI-V (Serious Mental Illness with High Risk to Violence) ในการประเมินความเสี่ยงในการก่อความรุนแรงของผู้ป่วย
การเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด: ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และอาจต้องมีมาตรการควบคุมพิเศษเพื่อป้องกันการก่อความรุนแรง
การทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน: การดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น ตำรวจ พนักงานฝ่ายปกครอง และหน่วยงานด้านสาธารณสุข
การกำกับดูแลผู้ป่วยจิตเวชเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามความรุนแรงของอาการและความจำเป็นในการรักษา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่เหมาะสมและสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข นอกจากนี้ กฎหมายยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วยและการป้องกันการตีตราจากสังคม
ลักษณะทั่วไป: อาจมีลักษณะภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การแต่งกายไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุงรัง ไม่ดูแลสุขอนามัยส่วนตัว มีกลิ่นตัว
พฤติกรรม: เดินเร่ร่อน คุ้ยขยะเพื่อหาอาหาร อาจมีท่าทีหวาดกลัว ตาขวาง ไม่กล้าพูดคุยกับผู้อื่น บางครั้งอาจหงุดหงิด โวยวาย
อารมณ์: อาจแสดงอารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดง่าย
ความคิด: อาจมีความคิดแปลก ๆ หรือหลงผิด แต่ยังไม่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น
การรับรู้: อาจมีการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนไปบ้าง
การดูแล: การดูแลในระยะนี้อาจเน้นที่การให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร การดูแลสุขอนามัย และการให้คำปรึกษา
ลักษณะทั่วไป: อาการทางจิตใจเริ่มแสดงออกชัดเจนขึ้น มีความผิดปกติของอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม
พฤติกรรม: อาจมีพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สามารถทำงานหรือเข้าสังคมได้ตามปกติ
อารมณ์: มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ชัดเจนขึ้น อาจมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรืออารมณ์แปรปรวน
ความคิด: มีความคิดหลงผิด หรือความคิดที่ผิดปกติอื่นๆ อาจมีความคิดทำร้ายตัวเอง
ความจำเป็นในการรักษา: ในระยะนี้ ผู้ป่วยอาจต้องการการบำบัดรักษาที่สถานพยาบาล มีการประเมินอาการอย่างละเอียด และติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ลักษณะทั่วไป: มีภาวะอันตรายที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของตนเองหรือผู้อื่น
พฤติกรรม: แสดงพฤติกรรมรุนแรง อาจทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
อารมณ์: มีอารมณ์ที่รุนแรงและควบคุมไม่ได้ อาจมีอาการหวาดระแวง
ความคิด: มีความคิดหลงผิดที่อาจนำไปสู่การทำร้าย มีความคิดทำร้ายผู้อื่นแบบเฉพาะเจาะจง
ความจำเป็นในการรักษา: ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ต้องได้รับการบำบัดรักษาอย่างเร่งด่วน โดยอาจต้องมีการควบคุมตัวเพื่อความปลอดภัย และอาจต้องเข้ารับการรักษาในสถานบำบัดรักษา
SMI-V 1: มีประวัติทำร้ายตัวเองด้วยวิธีรุนแรง มุ่งหวังให้เสียชีวิต
SMI-V 2: มีประวัติทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีรุนแรง หรือก่อเหตุรุนแรงทำให้เกิดความหวาดกลัวในชุมชน
SMI-V 3: มีอาการหลงผิด มีความคิดทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิต หรือมุ่งร้ายผู้อื่นแบบเฉพาะเจาะจง
SMI-V 4: เคยมีประวัติก่อคดีอาญารุนแรง เช่น ฆ่า พยายามฆ่า ข่มขืน วางเพลิง
การดูแล: ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องการการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานเพื่อป้องกันความรุนแรง
สภาพที่ปรากฏ: ดูลักษณะภายนอกทั่วไป การแต่งกาย สุขอนามัย
อารมณ์และความรู้สึก: สังเกตอารมณ์ที่แสดงออก ความรู้สึก
การพูด: สังเกตลักษณะการพูด
การรับรู้: ประเมินความสามารถในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ
รูปแบบและความคิด: ประเมินรูปแบบความคิด และเนื้อหาของความคิด
ความจำ: ประเมินความสามารถในการจำ
สมาธิ: ประเมินความสามารถในการมีสมาธิ
การรู้เวลา สถานที่ และบุคคล: ประเมินความสามารถในการรับรู้เวลา สถานที่ และบุคคล
การตัดสินใจนำผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดรักษา การตัดสินใจนำผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดรักษา จะพิจารณาจากอาการที่แสดงออก ความรุนแรงของอาการ และความจำเป็นในการได้รับการรักษา โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข และได้รับการคุ้มครองสิทธิ
หากพบเห็นบุคคลที่มีอาการเข้าข่ายผู้ป่วยจิตเวช ควรประเมินสถานการณ์เบื้องต้น และติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พนักงานเจ้าหน้าที่ ตำรวจ หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่เหมาะสมต่อไป
จากงานวิจัยเรื่อง "กฎหมายกับการดูแลผู้ป่วยจิตเวชของ นพ.ณัฐ ไกรภัสสรษ์" ระบุว่า กรณี "มีภาวะอันตราย" คือ มีพฤติกรรมที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของตนเองหรือผู้อื่น
กรณี "มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา" คือ ขาดความสามารถในการตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบำบัดรักษา และต้องได้รับการบำบัดรักษาโดยเร็ว
ผู้มีอำนาจนำส่ง ได้แก่ พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง ตำรวจ ผู้ปฏิบัติการตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน ผู้รับผิดชอบสถานที่คุมขังหรือสถานสงเคราะห์ และพนักงานคุมประพฤติ
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในเคหสถาน สถานที่ หรือยานพาหนะใด ๆ เพื่อนำบุคคลที่มีพฤติการณ์ตามมาตรา 22 ไปรับการตรวจวินิจฉัยและบำบัดรักษา
หากบุคคลนั้นมีอาวุธหรือมีแนวโน้มอันตราย ให้ร้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจหรือพนักงานฝ่ายปกครองได้
ประสานงานกับสถานพยาบาลของรัฐหรือสถานบำบัดรักษาก่อนนำส่ง
การตรวจวินิจฉัย
ตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นภายใน 48 ชั่วโมง ตรวจวินิจฉัยโดยละเอียดภายใน 30 วัน โดยคณะกรรมการสถานบำบัดรักษา
การให้ความยินยอมในการบำบัดรักษา
ผู้ป่วยต้องได้รับการอธิบายเหตุผล ความจำเป็น รายละเอียด และประโยชน์ของการบำบัดรักษา ก่อนให้ความยินยอม
การให้ความยินยอม ทำได้โดยชัดแจ้ง (วาจา กิริยาอาการ หรือหนังสือ) หรือโดยปริยาย
การให้ความยินยอมในการบำบัดรักษาแบบผู้ป่วยใน การรักษาด้วยไฟฟ้า การกระทำต่อสมอง ต้องทำเป็นหนังสือ
กรณีผู้ป่วยอายุไม่ถึง 18 ปี หรือขาดความสามารถในการตัดสินใจ ผู้ให้ความยินยอมแทน ได้แก่ คู่สมรส ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาล หรือผู้ซึ่งปกครองดูแล
คณะกรรมการสถานบำบัดรักษา
องค์ประกอบ ได้แก่ จิตแพทย์ แพทย์ พยาบาลจิตเวช นักกฎหมาย นักจิตวิทยาคลินิก หรือนักสังคมสงเคราะห์ หรือนักกิจกรรมบำบัด
อำนาจหน้าที่ ตรวจวินิจฉัย ประเมินอาการ สั่งการเกี่ยวกับการบำบัดรักษา พิจารณาทำความเห็นเกี่ยวกับการบำบัดรักษาและผลการบำบัดรักษา
มีอำนาจให้ความยินยอมในการบำบัดรักษาทางกายแทน กรณีผู้ป่วยขาดความสามารถในการตัดสินใจและไม่มีผู้ให้ความยินยอมแทน
การบำบัดรักษาผู้ป่วยคดี
ผู้ป่วยคดี คือ ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาในคดีอาญา ซึ่งพนักงานสอบสวนหรือศาลสั่งให้ได้รับการตรวจหรือบำบัดรักษา
เป้าหมายสูงสุด คือ ป้องกันการก่อคดีซ้ำ กรณีต่างๆ เช่น
การประเมินความสามารถในการต่อสู้คดี ประเมินความสามารถในการรับรู้กาล เวลา สถานที่ บุคคล ความเข้าใจในข้อกล่าวหา ความสามารถในการเล่าเหตุการณ์ ควบคุมอารมณ์ และรับรู้ผลของคดี
การติดตามอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 1 ปี หลังจำหน่าย
มิติการติดตาม ด้านอาการทางจิต ด้านผู้ดูแล/ญาติ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการเรียนรู้เบื้องต้น ด้านการกินยา ด้านกิจวัตรประจำวัน ด้านสัมพันธภาพในครอบครัว ด้านการใช้สารเสพติด ด้านการประกอบอาชีพ และด้านการสื่อสาร
ทีมสหวิชาชีพ จิตแพทย์/แพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก/นักจิตวิทยา นักกายภาพบำบัด โภชนากร พยาบาลจิตเวช นักสังคมสงเคราะห์ นักกิจกรรมบำบัด นักแก้ไขการพูด ครอบครัว ชุมชน อสม. รพ.สต. รพ. ชุมชน รพ. ทั่วไป รพ. ศูนย์ รพ. จิตเวช ตำรวจ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำทางจิตวิญญาณ ร้านค้า นายจ้าง