รู้จักว่านหู่ นักบินอวกาศในตำนาน ของจีนเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว
รู้จักว่านหู่ นักบินอวกาศในตำนาน ของจีนเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ถ้าหากเป็นเรื่องจริงจะเป็นนักบินอวกาศคนแรกของจีนที่ได้ไปอวกาศ แต่ไปแล้วไม่ได้กลับ
SHORT CUT
- ปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนเป็นมหาอำนาจที่มีทั้งแสนยานุภาพทางด้านการทหาร เศรษฐกิจที่เข้มแข็ง รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างก้าวกระโดด
- จีนเองก็เคยมีตำนานมนุษย์ที่ใฝ่ฝันอยากไปอวกาศเหมือนกันนามว่าว่านหู ผู้ที่สร้างเก้าอี้จรวดหมายมั่นปั้นมือว่าจะออกไปค้นพบสิ่งใหม่ๆ บนท้องฟ้าได้สำเร็จ
- สะท้อนถึงความใฝ่ฝันของมนุษยชาติที่อยากไปอวกาศที่มีมาตั้งแต่อดีต
รู้จักว่านหู่ นักบินอวกาศในตำนาน ของจีนเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ถ้าหากเป็นเรื่องจริงจะเป็นนักบินอวกาศคนแรกของจีนที่ได้ไปอวกาศ แต่ไปแล้วไม่ได้กลับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนเป็นมหาอำนาจที่มีทั้งแสนยานุภาพทางด้านการทหาร เศรษฐกิจที่เข้มแข็ง รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างก้าวกระโดด
หนึ่งในเทคโนโลยีที่แข่งขันกันระหว่างชาติมหาอำนาจก็คือการแข่งขันทางด้านอวกาศ
จีนเองก็เคยมีตำนานมนุษย์ที่ใฝ่ฝันอยากไปอวกาศเหมือนกันนามว่าว่านหู ผู้ที่สร้างเก้าอี้จรวดหมายมั่นปั้นมือว่าจะออกไปค้นพบสิ่งใหม่ๆ บนท้องฟ้าได้สำเร็จ
ว่านหู่คือใคร
ตามตำนานเล่าขาน ว่านหูเป็นขุนนางชาวจีนในสมัยราชวงศ์หมิง มีความใฝ่ฝันอยากจะขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาจึงได้สร้างจรวดขึ้นมาเอง โดยติดเก้าอี้ 47 ตัวไว้กับจรวด แล้วผูกตัวเองไว้กับเก้าอี้ พร้อมกับนำดอกไม้ไฟและนกจำนวนมากติดไปด้วย เพื่อหวังว่าจะได้ใช้ดอกไม้ไฟขับเคลื่อนจรวดขึ้นสู่ฟ้า และเมื่อถึงจุดสูงสุด นกจะบินกลับมาบอกข่าวความสำเร็จให้คนบนโลกได้รู้
ตามตำนาน บอกไว้ว่าว่านหู่และอุปกรณ์ของเขาได้หายไปพร้อมกับจรวด ทำให้ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของเขาอย่างแน่ชัด
เรื่องราวของว่านหู่ได้ถูกบันทึกและเล่าขานกันมาหลายศตวรรษ จนกระทั่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เรื่องราวของเขาก็ได้รับความสนใจจากนักเขียนชาวอเมริกัน และถูกนำไปเผยแพร่ในวงกว้างมากขึ้น
จีนต้นกำเนิดดินระเบิดต่อยอดถึงจรวด
สิ่งที่ทำให้เราเชื่อว่าตำนานอาจมีเรื่องจริง เพราะจีนเองอาจเรียกได้ว่าเป็นประเทศลำดับต้นๆ ของโลกที่คิดค้นดินระเบิดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อยอดไปถึงจรวดเลยก็ว่าได้
กล่าวคือ ดินปืนถูกคิดค้นโดยนักประสมแร่แปรธาตุของจีนที่พุ่งเป้าค้นหายาอายุวัฒนะเพื่อความเป็นอมตะ
ขณะที่ดินปืน มีองค์ประกอบสำคัญที่สุดคือ ดินประสิว และกำมะถัน ในตะวันตกไม่รู้จัก ดินประสิว จนกระทั่งเข้าช่วงยุคกลาง ด้วยลักษณะของมันที่เป็นแร่ซึ่งก่อตัวตามธรรมชาติในเขตร้อน ทำให้จีนมีแร่ชนิดนี้อยู่เหลือเฟือตามท้องถิ่น ชาวจีนรู้จักวิธีทดสอบแยกแยะดินประสิวแท้ด้วยการทดสอบหาเปลวไฟโพแทสเซียม ซึ่งจะเผาไหม้ออกมาเป็นเปลวไฟสีม่วงในศตวรรษที่ 3 เป็นอย่างช้า (2,000 ปีก่อนตะวันตก)
นั่นเท่ากับจีนรู้จักใช้ดินปืนมานานแล้ว แต่ในช่วงแรกนั้นใช้กับดอกไม้ไฟเท่านั้น
จนกระทั่งดินปืนได้ถูกนำมาใช้ด้านการทหารในสมัยของราชวงศ์ซ่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 904 โดยใช้อุปกรณ์ดินปืนเพื่อปราบพวกมองโกล
อาวุธเหล่านี้รวมถึง "ไฟบิน" (Fei Huo) ลูกธนูที่มีดินปืนติดอยู่ที่ด้าม ลูกศรไฟที่บินได้เป็นจรวดขนาดเล็ก ขับเคลื่อนตัวเองให้อยู่ในแนวของศัตรูและจุดประกายความหวาดกลัวให้กับทั้งคนและม้า มันคงจะดูเหมือนเวทมนตร์ที่น่ากลัวสำหรับนักรบกลุ่มแรกที่เผชิญหน้ากับพลังของดินปืน
และในที่สุดเมื่อมองโกลพิชิตจีนได้ก็ได้นำดินปืนไปใช้กับการทหารและถูกใช้เรื่อยมา ต่อเนื่อง ดินปืนของจีนเองก็คงเผยแพร่ผ่านทั้งการค้าคือเส้นทางสายไหม รวมถึงการสงครามที่จีนค่อยๆ เผยแพร่อิทธิพลเข้าไปถึง
จีนกับบทบาทด้านอวกาศ
ขณะที่ปัจจุบันจีนได้ก้าวเข้าสู่วงการสำรวจอวกาศอย่างเต็มตัวและประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านอวกาศ ทำให้จีนสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญหลายประการ
โดยจีนสามารถส่งมนุษย์ขึ้นสู่วงโคจร ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2003 ภายใต้โครงการเสินโจว และได้ส่งนักบินอวกาศขึ้นไปปฏิบัติภารกิจในสถานีอวกาศเทียนกงอย่างต่อเนื่อง
จีนได้สร้างสถานีอวกาศเทียนกงขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นสถานีอวกาศขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับนักบินอวกาศได้หลายคน และมีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์สำหรับการทดลองต่างๆ
จีนส่งยานสำรวจไปลงจอดบนดวงจันทร์หลายครั้ง และเก็บตัวอย่างดินและหินจากดวงจันทร์กลับมายังโลกเพื่อศึกษา
ขณะที่จีนได้ส่งยานสำรวจไปยังดาวอังคารเพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมและค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิต
และได้มีการพัฒนายานขนส่งอวกาศ รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการส่งดาวเทียมและยานอวกาศอื่นๆ ขึ้นสู่วงโคจร
สะท้อนให้เห็นว่าตั้งแต่ตำนานว่านหู่ จนถึงปัจจุบันจีนมีความฝันเสมอว่าจะสำรวจอวกาศ รวมถึงพิสูจน์ว่าบนท้องฟ้านั้นมีอะไร และด้วยบริบทปัจจุบันการสำรวจอวกาศยังเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกันระหว่างชาติมหาอำนาจ ตำนานยังสะท้อนให้เราเห็นชัดว่ามนุษย์มีความคิดที่จะไปอวกาศเรื่อยมา
และเรื่องดังกล่าวกลายเป็นเรื่องการแข่งขันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แหล่งอ้างอิง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
