ศูนย์จีโนมฯ เผย "โอไมครอน" BA.2 พบติดเชื้อในไทย 2 ราย กลายพันธุ์ไป 70-80 ตำแหน่ง ถูกจัดให้เป็นไวรัสน่ากังวล เพราะล่องหนหลบการตรวจได้
หลังจากที่เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม 2564 มีรายงานว่า สหราชอาณาจักรรายงานพบโควิด-19 โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.2” ซึ่งมีการตั้งชื่อเล่นขึ้นมาว่าเป็นโอไมครอน “สายพันธุ์ล่องหน (Stealth Variant)” ซึ่งขณะนั้นเป็นที่สนใจในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะหมดความสนใจไป เพราะยังไม่พบการระบาดที่สูง
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ในต่างประเทศหันมาให้ความสนใจเจ้าโควิด-19 โอไมครอน BA.2 อีกครั้ง หลังมีรายงานพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 400 รายในสหราชอาณาจักร และในกรุงลอนดอนพบมากถึง 140 กว่าราย
ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) เปิดเผยข้อมูลเกี่ยกวับการตรวจสอบการกลายพันธุ์ "โอไมครอน BA.2" โดยระบุว่า
โอไมครอนสายพันธุ์หลัก "BA.1" และสายพันธุ์ย่อย "BA.2 และ BA.3" ในประเทศไทย
นอกจากโอไมครอนจะมีสายพันธุ์หลักเป็น "B.1.1.529" หรือ "BA.1" แล้วยังเริ่มมีการกลายพันธุ์ไปอีก 2 สายพันธุ์ย่อยคือ"BA.2" และ "BA.3"
โอไมครอนสายพันธุ์หลัก “BA.1” ถูกถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างผู้ติดเชื้อทั่วโลกทั้งสิ้น 514,417 ราย(8%) พบในประเทศไทย 561 ราย(23%) กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” ประมาณ 60-70 ตำแหน่ง
โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ถูกนำมาถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างผู้ติดเชื้อจากทั่วโลกแล้วทั้งสิ้น 10,811 ราย (<0.5%) พบในประเทศไทย 2 ราย(1%)
กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” ประมาณ 70-80 ตำแหน่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผยโควิด-19 ใกล้จบเกม กลายเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว
• ศูนย์จีโนมฯ คาด "เดลตาครอน" ไม่ใช่สายพันธุ์ลูกผสม อาจมาจากเชื้อที่ปนเปื้อน
• ดร.อนันต์ ชี้ไวรัส "โอไมครอน" อาจกลายพันธุ์ จนทำให้ติดเชื้อลงปอดได้
ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดีตรวจพบโอไมครอน BA.2 จำนวน 1 ตัวอย่าง ด้วยเทคโนโลยี "Mass array genotyping" ซึ่งกำลังยืนยันผลด้วยเทคนิค "Long read, whole genome sequencing" คาดว่าจะแล้วเสร็จในอาทิตย์นี้
โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.3 ถูกนำมาถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างจากทั่วโลกประมาณ 86 ราย(0.5%) ยังไม่พบในประเทศไทย (not detected)
กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” ประมาณ 55-65 ตำแหน่ง
การคัดกรองทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้นเพื่อแยกสายพันธุ์ “เดลตา” และ “โอไมครอน ออกจากกันมักจะตรวจโดยวิธี RT-PCR 3 ตำแหน่งบน 3 ยีน
โดยเดลตา จะถูกตรวจด้วย RT-PCR ได้ครบทั้ง 3 ยีน ส่วนโอไมครอนสายพันธุ์หลัก "BA.1" ตรวจด้วยชุดตรวจ RT-PCR ได้เพียง 2 ใน 3 ยีน เนื่องจากตรวจไม่พบ S ยีน หรือมี "S target failure (SGTF)" เนื่องจากมีการกลายพันธุเกิดการขาดหายไปของกรดอะมิโนตำแหน่งที่ 69-70 (del 69-70) บนโปรตีนหนามจนตัวตรวจจับ (PCR primers) จับยีน S ไม่ได้
BA.2 บางครั้งถูกเรียกว่าสายพันธุ์ล่องหน (Stealth Variant)” เพราะสามารถตรวจ RT-PCR ได้ครบทั้งสามยีน ทำให้แยกไม่ออกระหว่าง "เดลตา" กับ "BA.2" เนื่องจากสามารถตรวจยีน S ของ BA.2 ด้วยชุดตรวจ RT-PCR ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปได้
สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักร (UKHSA) ประกาศให้โอไมครอน BA.2 เป็นสายพันธุ์ที่ต้องสอบสวน (Variant Under Investigation: VUI) เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565
ส่วนที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ เนื่องจากใช้เทคโนโลยี "จีโนไทป์" จึงไม่ประสบปัญหา “S target failure (SGTF)” สามารถพัฒนาให้ชุดตรวจตรวจจับทั้ง BA.1, BA.2, และ BA.3 และ เดลตา อัลฟา เบตา แกมมา ไปพร้อมกันได้ในหลอดเดียว (single tube reaction) ภายใน 24-48 ชั่วโมง ด้วยค่าใช้จ่ายที่ประหยัดกว่าการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม
BA.2 กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” มากที่สุดประมาณ 70-80 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนทางคลินิกว่ามีอาการรุนแรงกว่าโอไมครอนสายพันธุ์หลัก BA.1 หรือไม่ แต่คาดคะเนจากข้อมูลทางระบาดวิทยาว่าอาจแพร่ติดต่อได้เร็วกว่าโอมิครอน BA.1 อยู่บ้าง
BA.2 เคยได้รับความสนใจจากนักวิจัยทั่วโลกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะหมดความสนใจไป เพราะพบการระบาดในวงจำกัด
https://www.facebook.com/CMGrama/posts/4586461878128223
แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีการระบาดแพร่กระจายมากขึ้น โดยนักวิจัยสามารถถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างจากทั่วโลกได้แล้วทั้งสิ้นถึง 10,811 ราย
ส่วน BA.3 ทั่วโลกสามารถถอดรหัสทั้งจีโนมมาได้เพียง 86 ตัวอย่าง กลายพันธุ์ต่างไปจากสายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” น้อยที่สุดประมาณ 55-65 ตำแหน่ง ไม่มีข้อมูลทางคลินิกมากนัก