ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ระบุ "โอไมครอน" เป็นไวรัสสายพันธุ์ที่ติต่อง่ายที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก "หัด" ชี้ 1 คนสามารถแพร่กระจายเชื้อไปได้อีก 8-15 คน เกิดขึ้นได้เฉพาะคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนและไม่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติ
หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขยกระดับเตือนภัยสาธารณสุข ระดับ 4 หลังพบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสายพันธุ์โอไมครอน และพบการแพร่ระบาดกระจายในหลายจังหวัด ซึ่งเรียกได้ว่าประเทศไทยเข้าสู่โควิดระลอก 5 แล้ว
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ Center for Medical Genomics เผยข้อมูลว่า ปัจจุบัน "โอไมครอน" เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากไวรัสหัด
R-naught (R0) เป็นค่าคำนวณบ่งชี้ความสามารถในการติดต่อโรคโดยเฉลี่ยอันหมายถึงจำนวนคนที่ผู้ติดเชื้อเพียงคนเดียวจะแพร่โรคนั้นไปให้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการคำนวณ "ความสามารถในการแพร่ระบาด" โดยเฉลี่ยของโรค
• ไวรัส “หัด” ติดต่อกันได้ง่ายที่สุดในโลก มีค่า R-naught ประมาณ 15-18
• ไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ “โอไมครอน” มีค่า R-naught ประมาณ 8-15
• ไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ “เดลตา” มีค่า R-naught ประมาณ 6.5-8
• ไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปน 1918 และไวรัสไข้หวัดใหญ่ปัจจุบัน มีค่า R-naught ประมาณ 2-3
• ไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” มีค่า R-naught ประมาณ 2.5
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• เช็กมาตรการสาธารณสุข ยกระดับเตือนภัย ระดับ 4 หลัง "โควิด" ระบาดระลอก 5
• หมอยง ชี้ตั้งแต่นี้ยอดผู้ป่วยโควิดพุ่งสูงแน่ แนะเร่งกระตุ้นวัคซีนเข็ม 3
• สธ. ชี้ไทยเข้า โควิดระลอก 5 ป่วยเน้นแยกกักตัว-ดูอาการที่บ้าน
คือจากผู้ติดเชื้อโอมิครอนหนึ่งรายสามารถแพร่ติดต่อไปยังผู้อื่นอีก 8-15 คน
โดยทั้ง 8-15 คน นั้นต้องเป็นผู้ไม่เคยติดเชื้อ และยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน ซึ่งจะหาได้ยากในประเทศไทยเพราะประชากรกว่าร้อยละ 70 ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว และติดเชื้อตามธรรมชาติอีกจำนวนหนึ่ง
ดังนั้นโอกาสที่คนในประเทศไทยทุกคนจะติดเชื้อ“โอมิครอน” พร้อมกันอย่างรวดเร็วจะเป็นไปได้ยากเพราะพวกเราส่วนใหญ่มีภูมิกันแล้วทั้งจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติ
ร่วมด้วยช่วยกันฉีดวัคซีนเพื่อมิให้ "โอไมครอน" ระบาดไปทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้มีคนป่วยเข้า รพ. ได้ถึงร้อยละ 2-3
วัคซีนที่ฉีดจะเข้าไปจะกระตุ้นเม็ดเลือดขาว B เซลล์ ให้สร้างแอนติบอดี แต่ก็ด้อยประสิทธิ์ภาพในการป้องกันการติดเชื้อประมาณเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ที่ยังควรฉีดเพราะวัคซีนที่ฉีดเข้าไปยังสามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาว T เซลล์ ให้ส่งสัญญานไปยังเม็ดเลือดขาวหลายประเภทเข้าทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส ทำให้ลดอัตราการเจ็บป่วย รุนแรง และเสียชีวิต นอกจากนี้ยังลดการเพิ่มจำนวนในตัวผู้ติดเชื้อและลดการระบาดระหว่างคนสู่คน เพื่อมิให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์มาแทนที่โอไมครอน ให้มันจบที่โอไมครอน
WHO คาดคะเนว่าไวรัสโคโรนา 2019น่าจะยุติลงได้ในปี 2565 นี้ หากมีการฉีดวัคซีน 1-2 เข็ม อย่างน้อยร้อยละ 70 ทุกประเทศ ทั่วโลก