เมื่อขยะมูลฝอยไม่มีวี่แววว่าจะลดน้อยลงแต่อย่างใด ทำให้ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนร่วมกันหาทางออกเพื่อจำกัดปัญหาขยะพลาสติกจากบรรจุภัณฑ์ จึงเป็นที่มาของหลักการ EPR เมื่อผู้ผลิตต้องมีส่วนรับผิดชอบต้องสินค้าของตัวเองตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
ปัจจุบันประเทศไทย นับว่ามีปัญหาขยะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อ้างอิงข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ พบว่า ในปี 2562 ประเทศไทยมีขยะมูลฝอยอยู่ราว 28.71 ล้านตัน ซึ่งแน่นอนว่าการกำจัดขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่คือวิธีการฝังกลบ
หากนับสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยทั่วประเทศ จะพบว่าประเทศไทยมีสถานที่กำจัดขยะอยู่ราว 2,137 แห่ง แต่สิ่งที่ย้อนแย้งกับตัวเลขดังกล่าวคือ กว่า 95% ยังเป็นการกำจัดขยะแบบไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง
คำถามถัดมาคือ แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร? หากเรากวาดสายตาไปดูประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งต้องประสบกับปัญหาขยะมูลฝอยไม่ต่างจากประเทศไทย จะพบว่า บางประเทศสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วย ตัวภาษาอังกฤษ 3 ตัว คือ EPR วันนี้ Spring News ชวนรู้จัก วิธีคิดเรื่อง EPR คืออะไร? และจะช่วยแก้ไขปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ได้อย่างไร?
EPR หรือ Extended Producer Responsibility คือ แนวคิดในการดึงผู้ผลิตให้เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองผลิตและจำหน่าย ซึ่งนั่นร่วมถึงหลังจากที่ผลิตภัณฑ์กลายเป็นขยะด้วย ไม่ใช่สิ้นสุดแค่กระบวนการขายเท่านั้น
ซึ่งหากทำสำเร็จจะสามารถทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ในบางประเทศเช่นเยอรมัน ได้มีการทำกฎหมาย EPR ไปใช้ ผลปรากฏว่า อัตราการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ของผู้ผลิตเพิ่มขึ้น หลาย ๆ ประเทศจึงได้ปฏิบัติตามเพื่อนำมาจัดการกับขยะที่จัดการได้ยากเช่น ยางรถยนต์ หรือขยะอิเล็กทรอนิกส์
ต้องบอกว่า หากประเทศไทยสามารถออกกฎหมาย EPR จะทำให้ผู้ผลิตสินค้าในประเทศและผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจำเป็นต้องรับผิดชอบและดูแลสินค้าของตัวเอง และจัดการบรรจุภัณฑ์ให้ถูกต้อง เพื่อให้ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยปฏิบัติตาม 3 แนวทางดังนี้
หากทำได้ดังนี้ ปัญหาขยะตกค้างในพื้นที่ชุมชนก็จะน้อยลง และทำให้ขยะที่ส่งไปยังกระบวนการเผา หรือผังกลบอาจลดน้อยลงไปด้วย เฉกเช่นที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้สั่งห้ามผู้ผลิตออกแบบหรือผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทขวดพลาสติกให้มีสีสัน เพื่อป้องกันปัญหาในกระบวนการรีไซเคิล
เรียกได้ว่าหากผู้ผลิตหันมาปรับใช้แนวคิดนี้กับแบรนด์และวิธีการผลิตสินค้าของตัวเอง และการออกแบบผลิตภัณฑ์มีกฎหมายสักตัวมาควบคุมผู้ผลิตเอาไว้
ผลกระทบนอกจากจะทำให้ผู้ผลิตเร่งปรับตัวเพื่อสร้างบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน
ต้องบอกว่าผู้ผลิตสินค้าในประเทศไทย หรือภาคเอกชนเริ่มหันมาให้ความสนใจเรื่องการรับคืนบรรจุภัณฑ์จากผู้บริโภคกันบ้างแล้วเช่น ขวดพลาสติก หรือกล่องเครื่องดื่มต่าง ๆ แต่ในขั้นแรกเริ่มจะเป็นการดำเนินงานในลักษณะ CSR เสียส่วนใหญ่
อีกหนึ่งท่าทีที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจต่อแนวคิด EPR คือ การที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเริ่มให้ความสนใจ และเก็บข้อมูลจากต่างประเทศที่ใช้ระบบ EPR ในการจัดการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์อยู่
ส่วนในฝั่งของภาครัฐ ทางกรมควบคุมมลพิษได้วางแผนการพัฒนากฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ ไว้ในแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570)
อัพเดตล่าสุด มีการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมแล้ว โดยทางกรมควบคุมมลพิษได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยแม้ฟ้าหลวงให้เป็นผู้ดำเนินการยกร่างพรบ. และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
ฟิลิปปินส์
มีกฎหมายที่ชื่อว่า ‘Act Institutionalizing the Extended Producer Responsibility on Plastic Packaging Waste’ ซึ่งบอกไว้ดังนี้
อินโดนีเซีย
มีกฎหมายที่ชื่อว่า Roadmap on Waste Reduction by Producer DECREEซึ่งบอกไว้ดังนี้
1) ผู้ผลิตอุตสาหกรรม
2) ภาคธุรกิจบริการอาหารและ
3) ผู้จัดจำหน่ายเช่น ห้างหรือตลาด
- ผู้ผลิต จะต้องทำการวางแผน, ดำเนินการ, ติดตาม, ประเมินผลการลดขยะจากผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ของตัวเอง
- จะต้องลดขยะให้ได้ 30% ภายในปีค.ศ. 2029
เวียดนาม
มีกฎหมายที่ชื่อว่า Decree detailing some articles on the Law on Environmental Protection-08/2022/ND-CP ซึ่งบอกไว้ดังนี้
• กำหนดเป้าหมายที่ในการเริ่มใช้ EPR กับบรรจุภัณฑ์เต็มรูปแบบในปีค.ศ. 2024
• ผู้ผลิตมีกินความหมายรวมถึง ผู้ผลิตสินค้า ผู้นำเข้าและผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์
• ให้มีการจัดตั้งองค์กรตัวแทนผู้ผลิต ที่เรียกว่า Producer Responsibility Organization (PRO) ซึ่งจะต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 3 ราย หรือเลือกที่จะจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้กองทุนสิ่งแวดล้อมของรัฐแทน
• ผู้ผลิตจะต้องรีไซเคิลให้ได้อย่างน้อย 40% ของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด
สิงคโปร์
มีกฎหมายที่ชื่อว่า Resource Sustainability Act 2019 Part 4 Reporting in relation to packaging ซึ่งบอกว่า
หลังจากได้ทำความรู้จักกับแนวคิด EPR ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Spring News ชวนรู้จัก 'เม็ดพลาสติก' อีกหนึ่งเครื่องมือในการช่วยลดปัญหาขยะตกค้าง และแนวการนำเอาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว กลับมารีไซเคิลเป็นบรรจุภัณฑ์ชิ้นใหม่
เม็ดพลาสติกเกิดจากไอเดียที่ว่า บรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว ถูกทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ จากนั้นก็ถูกนำไปทิ้งที่กระบวนการฝังกลบ บรรจุภัณฑ์เหล่านั้นจึงถูกนำกลับมาเข้ากระบวนการรีไซเคิลใหม่
จนเกิดเป็น เม็ดพลาสติก ที่สามารถนำไปสร้างบรรจุภัณฑ์พลาสติกใหม่ได้เรื่อย ๆ แถมคุณภาพเทียบเท่ากับพลาสติกจากต้นทางอีกด้วย
ปัจจุบันเม็ดพลาสติกที่เรารู้จักกันมีอยู่ 2 ประเภทคือ
อีกหนึ่งจุดเด่นของเม็ดพลาสติกคือ เป็นพลาสติกที่รับซื้อมาจากพลาสติกใช้แล้วของครัวเรือน จากนั้นนำมารีไซเคิลใหม่ด้วยมาตรฐานแบบยุโรป เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง โดยเม็ดพลาสติกที่ได้จากการรีไซเคิล พร้อมกับจุดเด่นอีกนับไม่ถ้วนเช่น
เนื้อหาที่น่าสนใจ