SHORT CUT
นิสสัน (Nissan) ประกาศลงทุนใหญ่ ปรับยุทธศาสตร์สู้ศึก EV จีน เร่งส่งรถยนต์พลังงานใหม่-ไฮบริด ตั้งเป้าจีนเป็นฐานผลิตส่งออกทั่วโลก รับมือการแข่งขันดุเดือด
Nissan หนึ่งในสามค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ประกาศแผนการลงทุนครั้งสำคัญมูลค่า 1 หมื่นล้านหยวน (หรือราว 5 หมื่นล้านบาท) ในประเทศจีนตลอด 3 ปีข้างหน้า เพื่อเร่งปรับตัวและชิงส่วนแบ่งการตลาดคืนจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นในงาน Auto Shanghai 2025 ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์พลังงานใหม่ของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในตลาดจีนอย่างชัดเจน
Stephen Ma ประธานคณะกรรมการบริหาร Nissan ประจำประเทศจีน ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปี ยอมรับว่าที่ผ่านมา Nissan ตอบสนองต่อตลาดจีนได้ช้ากว่าคู่แข่ง ทำให้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างต่อเนื่อง ยอดขายในปีงบประมาณ 2023 ลดลงถึง 24.1% เหลือไม่ถึง 800,000 คัน
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ Nissan ได้ปรับโครงสร้างการดำเนินงานครั้งใหญ่ โดยมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ในจีนมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อให้สามารถพัฒนารถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่การกำหนดค่าระบบส่งกำลังไปจนถึงการปรับแต่งสมรรถนะ โดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากสำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่น ทำให้สามารถลดระยะเวลาการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ให้สั้นลง (เป้าหมายภายใน 24 เดือน)
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Dongfeng Nissan N7 รถยนต์ซีดานไฟฟ้าที่พัฒนาร่วมกับ Dongfeng พันธมิตรในจีน ซึ่งใช้เวลาเพียง 12 เดือนจากแนวคิดสู่การผลิตจริง และเปิดตัวสู่ตลาดหลังเผยโฉมเพียง 5 เดือน
รถรุ่นนี้มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่พัฒนาร่วมกับ Momenta บริษัทเทคโนโลยีของจีน มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.208 Cd ระยะทางวิ่งสูงสุด 635 กม. (CLTC) และเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่น่าสนใจราว 119,900 หยวน (ประมาณ 16,450 ดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้ได้รับยอดจองอย่างล้นหลาม
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว Frontier Pro PHEV รถกระบะปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของ Nissan ซึ่งถือเป็นรถยนต์ Nissan รุ่นแรกที่ออกแบบและพัฒนาทางวิศวกรรมในจีนเป็นหลักเพื่อตลาดโลก
มาพร้อมขุมพลัง 1.5L เทอร์โบ ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมกว่า 300 กิโลวัตต์ แรงบิด 800 นิวตันเมตร วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกล 135 กม. (CLTC) และรองรับ V2L จ่ายไฟให้อุปกรณ์ภายนอกได้
เงินลงทุนก้อนใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ขยายศูนย์เทคนิคในจีน เพิ่มจำนวนวิศวกรเป็น 4,000 คน และพัฒนา EV เจเนอเรชันถัดไป
อย่างไรก็ตาม Nissan ยืนยันว่าจะยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้แม้จะมีการปรับให้เข้ากับท้องถิ่นมากขึ้น และจะยังคงนำเสนอรถยนต์หลากหลายรูปแบบ ทั้งเครื่องยนต์สันดาป, ไฟฟ้า, ปลั๊กอินไฮบริด และ EREV เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
แม้ Nissan จะแสดงความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ แต่การแข่งขันในตลาดจีนยังคงเป็นความท้าทายสูง ต้องจับตาดูว่ากลยุทธ์ใหม่และการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้ Nissan กลับมาเติบโตและทวงคืนส่วนแบ่งการตลาดได้สำเร็จหรือไม่ในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา : CarNewsChina