สงครามรถยนต์ไฟฟ้า มหาอำนาจปะทะเดือด สหรัฐฯ VS จีน ชี้อนาคตอุตสาหกรรมทั่วโลก

จีน ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล ทั้งในด้านเงินอุดหนุน, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ปัจจุบันจีนกลายเป็นตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำหลายราย เช่น BYD, NIO และ Xpeng

นอกจากนี้ จีนยังเป็นผู้นำในการผลิตแบตเตอรี่ซึ่งบริษัทอันดับ 1 ของโลกคือ CATL ซึ่งแบตเตอรี่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้จีนมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิต

สหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก กำลังเร่งเครื่องเพื่อทวงคืนบัลลังก์ในยุค EV ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่ามหาศาลเพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ รวมถึงการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Tesla ยังคงเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และมีอิทธิพลต่อตลาดโลกอย่างมาก

สงครามการค้า สู่การแบ่งขั้วอุตสาหกรรม

สหรัฐฯ งัดมาตรการเข้มงวดต่อสู้สงคราม EV จีน ออกมาตรการกีดกันการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนด้วยการขึ้นภาษีรถ EV จีน 100% และภาษีสำหรับแบตเตอรี่และวัตถุดิบสำคัญอื่นๆอีก 35% 

สหรัฐฯกังวลว่าจีนจะใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนและเทคโนโลยีเพื่อครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ จึงได้ออกมาตรการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี,​ ซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์ของจีน ไม่ว่าจะเป็น ระบบอัจฉริยะ, ระบบนำทาง, ระบบควบคุม และระบบความบันเทิง

โดยสหรัฐฯ อ้างว่าอุปกรณ์ของจีนเหล่านี้อาจถูกใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ หรือแม้กระทั่งควบคุมรถจากระยะไกล ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากจีนมองว่าเป็นความพยายามในการขัดขวางการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน

ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นและการแบนซอฟต์แวร์อาจทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแพงขึ้น และมาตรการนี้อาจชะลอการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ แต่ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามาตรการนี้จะทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญจีนเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้ไม่สามารถยับยั้งความก้าวหน้าของจีนได้ในระยะยาว และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภคในสหรัฐฯเอง

การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯและจีนในอุตสาหกรรม EV จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต ทั้งสองประเทศต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน จีนมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและตลาดขนาดใหญ่ ในขณะที่สหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสงคราม EV นี้คือผู้บริโภคทั่วโลก การแข่งขันที่ดุเดือดจะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ราคาที่ถูกลง และทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

สงครามรถยนต์ไฟฟ้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นมากกว่าแค่การแข่งขันทางธุรกิจ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อชิงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในศตวรรษที่ 21

การแข่งขันครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อโลกทั้งใบ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการพัฒนาเมืองและคุณภาพชีวิตของผู้คน การจับตาความเคลื่อนไหวและการปรับตัวของทั้งสองประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์และทิศทางของโลกในอนาคตอันใกล้นี้

จากข่าวสารล่าสุด การขึ้นภาษีและการแบนซอฟต์แวร์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนของสหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ แม้ว่ามาตรการนี้อาจช่วยปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศสหรัฐฯ แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและทำให้เกิดสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น

อนาคตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีน ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตามข่าวสาร เพราะทั้งสองประเทศนี้กำลังจะก้าวเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของโลก

ที่มา : globaltimes