รัสเซียอาจเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากวิกฤตโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์เลือกที่จะยุตินโยบายแก้ปัญหาโลกร้อนของสหรัฐฯ
หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในสมัยที่ 2 ดูเหมือนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศที่เคยถูกผลักดันโดยไบเดนก็ถูกเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำดิน ทั้งการถอนตัวจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และประกาศแผนการเพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล
แม้ทรัมป์ยอมรับแล้วว่า 'โลกร้อน' มีจริง เขาก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา แต่มองเป็นโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์ เขาบอกว่า 'อุณหภูมิที่อบอุ่น ย่อมดีกว่าอุณหภูมิที่หนาวเย็น' ทั้งยังมองการที่น้ำแข็งขั้วโลกในทะเลอาร์กติกละลาย เป็นโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าไปขุดเจาะน้ำมันมี่คาดว่ามีมากกว่า 1.6 แสนล้านบาร์เรล ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่รับผลประโยชน์จากวิกฤตโลกร้อนและการเมินเฉยของทรัมป์อย่างแท้จริงกลับเป็น 'รัสเซีย'
เมื่อปี 2020 รัฐบาลรัสเซียเผยแพร่เอกสารประกาศแผนการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้ลงทุนร่วมกับจีนเพื่อเริ่มต้นโครงการโครงการพลังงานในอาร์กติก ทำให้บริษัทพลังงานนิวเคลียร์ของรัฐอย่าง Rosatom ได้รับมอบอำนาจควบคุมเส้นทางทะเลเหนือเกือบทั้งหมด ในขณะที่สหรัฐฯ ยังคงต้องพัฒนาฐานทัพและเรือตัดน้ำแข็ง รัสเซียก็มีฐานทัพทหาร 12 แห่งในอาร์กติกเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้รัสเซียยังมองว่าอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น มีความสำคัญต่อการขยายการผลิตพืชผลทางการเกษตร เนื่องจากปกติแล้วดินแดนของรัสเซียจะประสบความหนาวเย็นจนแทบจะปลูกอะไรไม่ได้ แต่เมื่ออากาศอบอุ่นขึ้น พื้นที่เพาะปลู๔กหลายแห่งก็สร้างผลผลิตได้มากขึ้น จนเมื่อปี2022 ถึง 2024 เกษตรกรชาวรัสเซียปลูกธัญพืชในปริมาณที่สามารถส่งออกทั่วโลกได้ในราคาถูก ทำให้บทบาทของรัสเซียในห่วงโซ่อุปทานอาหารโลกก็จะเพิ่มขึ้นตาม ยังไม่นับรวมการจุดชนวนสงครามที่ขัดขวางความสามารถของยูเครนในการส่งออกธัญพืชเป็นของตนเองซึ่งนับเป็นการตัดกำลังคู่แข่งครั้งใหญ่ด้วย
แน่นอนว่าการยอมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในฐานะโอกาสในการพัฒนาแหล่งพลังงานของอลาสก้าต่อไป น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางการเงินแก่สหรัฐฯ บ้างไม่มากก็น้อย แต่รัสเซียที่ได้วางรากฐานในด้านเศรษฐกิจและการทหารเพื่อใช้ประโยชน์จากภาวะโลกร้อนมาก่อนแล้ว คงจะกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากวิกฤตโลกร้อนได้มากที่สุด