svasdssvasds

จีนมุ่งเป้าครองโลกด้วยพลังงานหมุนเวียน สวนทางนโยบายทรัมป์

จีนมุ่งเป้าครองโลกด้วยพลังงานหมุนเวียน สวนทางนโยบายทรัมป์

เมื่อจีนกำลังเพิ่มเทคโนโลยีสีเขียวจนแซงหน้าประเทศอื่นๆ ในขณะที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์กลับขัดขวางความก้าวหน้าของตนเองเพื่อกลับไปใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2024 สหรัฐอเมริกาคือประเทศที่มีการติดตั้งพลังงานหมุนเวียนในปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จนกลายเป็นหนึ่งในความหวังที่จะเป็นผู้นำการปฏิวัติพลังงานสะอาดของโลก จนกระทั่งช่วงสัปดาห์แรกๆ ของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสถานการณ์พลังงานสะอาดของสหรัฐฯ อีกหลายปีหลังจากนี้คงไม่ราบรื่นนัก

ในขณะที่จีนซึ่งเคยถูกนิยามว่าเป็นแหล่งปล่อยมลพิษรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ประกาศแผนขยายฐานพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่แล้วอย่างมหาศาลในสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการสร้างฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งแห่งใหม่  และฐานพลังงานที่อาจรวมถึงระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ในพื้นที่ทะเลทรายต่างๆ ไปจนถึงเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าเขื่อนสามผาซึ่งเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงสามเท่า โดยมีเป้าหมายเพื่อให้จีนบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดก่อนปี 2030 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2060

จีนมุ่งเป้าครองโลกด้วยพลังงานหมุนเวียน สวนทางนโยบายทรัมป์

ปัจจุบัน จีนแซงหน้าประเทศอื่นๆ ในด้านการติดตั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนับตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน หลังจีนได้รับแรงหนุนจากการตื่นทองของผู้ประกอบการและการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งรวมถึงเงินอุดหนุนหลายแสนล้านดอลลาร์ จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า "จีนกำลังจะครองโลกในทุกด้านของพลังงานสะอาด" 

หากวัดกันที่พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่เติบโตเร็วที่สุด ในปี 2017 จีนได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ทั้งหมด 130 กิกะวัตต์ แซงหน้าสหภาพยุโรปและกลายเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของโลก ก่อนจะเพิ่มอีก 200 กิกะวัตต์ในปี 2023 

เช่นเดียวกับพลังงานลม แม้จีนจะมีความก้าวหน้ามากกว่าสหภาพยุโรปเพียงเล็กน้อยจนถึงปี 2019 แต่ภายในปี 2023 ฟาร์มลมของจีนก็สามารถผลิตพลังงานได้มากถึง 450 กิกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นสองเท่าของสหภาพยุโรป และหากทำงานเต็มกำลัง กังหันลมเหล่านี้จะเทียบเท่ากับกำลังการผลิตรวมของแหล่งพลังงานทั้งหมดในอินเดีย

จีนมุ่งเป้าครองโลกด้วยพลังงานหมุนเวียน สวนทางนโยบายทรัมป์

ยังไม่นับรวมความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีน และการที่จีนครองส่วนแบ่งรายใหญ่ที่สุดในห่วงโซ่อุปทานวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีสีเขียว เช่น แร่ธาตุสำคัญซึ่งจำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่และแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งทั้งหมดนี้หมายความว่าแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกก็จะต้องเผชิญกับภารกิจอันยากลำบากในการไล่ตามจีน ทั้งยังต้องใช้งบประมาณมหาศาลด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเป้าหมายของจีนในการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2060 นั้นยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากเกนไป เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนนั้นลดลงเพียง 3.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ ทั้งยังมีการคาดการณ์ว่าจีนจะกลับมาขยายการผลิตของโรงไฟฟ้าถ่านหินในปี 2025 เพื่อตอบโจทย์การขยายตัวของเศรษฐกิจด้วย