svasdssvasds

จับตา 3 ภัยพิบัติใหญ่ ที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก

จับตา 3 ภัยพิบัติใหญ่ ที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก

ในช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นแล้วว่า 'วิกฤติโลกร้อน' ส่งผลให้โลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่เกิดบ่อยครั้และรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นก็ไม่สร้างความกังวลให้นักวิทยาศาสตร์ได้เท่ากับ 3 ภัยพิบัติที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก

SHORT CUT

  • วิกฤติโลกร้อนได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติทั่วโลกที่มีความรุนแรงผิดปกติ
  • ท่ามกลางภัยพิบัติเหล่านั้น นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างจับตาไปที่ภัยพิบัติ 3 เหตุการณ์
  • ซึ่งหากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นจริง จะสร้างความเสียหายต่อโลกอย่างรุนแรง และอาจหมายถึงสัญญาณวันสิ้นโลก

ในช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นแล้วว่า 'วิกฤติโลกร้อน' ส่งผลให้โลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่เกิดบ่อยครั้และรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นก็ไม่สร้างความกังวลให้นักวิทยาศาสตร์ได้เท่ากับ 3 ภัยพิบัติที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่นานาชาติต้องเร่งแก้ไข ทั้งยังสร้างความกังวลในหมู่นักวิทยาศาสตร์ต่อผลกระทบที่ทำให้เกิดภัยพิบัติรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก

แต่ในบรรดาภัยพิบัติที่มีโอกาสเกิดขึ้นทั้งหมด มีเพียงภัยพิบัติใหญ่ 3 เหตุการณ์เท่านั้น ที่นักวิทยาศาสตร์ให้การจับตาเป็นพิเศษ เพราะเมื่อมันเกิดขึ้น นั่นหมายถึงสัญญาณที่บ่งบอกว่าโลกของเราใกล้ถึงคราวอวสานเต็มที

1. ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก

ธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับประเทศอังกฤษหรือรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันกำลังละลายอย่างรวดเร็ว 

โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่าฝันร้ายจะอุบัติขึ้นเมื่อธารน้ำแข็งดังกล่าวเกิดการถล่มหรือละลายไปจนหมด เพพราะจะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นถึง 50 ฟุต หากเป็นแบบนั้นจะมีเมืองชายฝั่งของสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ถูกจมลงใต้น้ำ

อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาชิ้นใหม่ที่ยืนยันว่าสถานการณ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้

จับตา 3 ภัยพิบัติใหญ่ ที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก

2. แผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์ 

แผ่นน้ำแข็งที่่มีความหนาถึง 3,000 เมตร ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 656,000 ตารางไมล์ ซึ่งหากมันละลายจนหมด จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นประมาณถึง 20 ฟุต 

จากผลการศึกษาล่าสุดยังพบว่า แผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์กำลังละลายอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าที่นักวิจัยคาดการณ์กันไว้ ทำให้มันสูญเสียน้ำแข็งประมาณ 2.70 แสนล้านตันต่อปี 

จับตา 3 ภัยพิบัติใหญ่ ที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก

3. กระแสน้ำแอตแลนติกหยุดไหล

กระแสน้ำแอตแลนติก หรือ The Atlantic Meridional Overturning Circulation (AMOC) คือส่วนหนึ่งของกระแสน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลเวียนไปในทุกมหาสมุทรทั่วโลก นำพาน้ำอุ่นจากเขตร้อนลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือเพื่อรักษาสมดุลของภูมิอากาศ

กระแสน้ำดังกล่าวได้รับความสนใจครั้งแรกเมื่อปี 2004 ด้วยฉากภัยพิบัติที่เป็นต้นตอของเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่อง "The Day After Tomorrow" (วิกฤติวันสิ้นโลก) 

หากกระแสน้ำแอตแลนติกเกิดการหยุดไหลขึ้นมาจริง ๆ คาดว่าจะทำให้เกิดวิกฤติสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และที่อื่นๆ  หลาายพื้นที่อาจเผชชิญยุคน้ำแข็ง และอีกหลายพื้นที่เผชิญน้ำทะเลท่วมสูง และพายุเฮอริเคนที่มีกำลังแรงมากขึ้นตามชายฝั่งตะวันออก

มีการศึกษาที่คาดการณ์ว่า กระแสน้ำแอตแลนติก อาจล่มสลายภายในปี 2593 แต่ยังคงเป็นข้อมมูลเบื้องต้นที่รอการยืนยันอีกครั้ง

จับตา 3 ภัยพิบัติใหญ่ ที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก