SHORT CUT
แพทย์ มช. เผยตัวเลขผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ภาคเหนือสูงที่สุดในประเทศ ซึ่งสัมพันธ์กับค่าฝุ่น PM2.5 ล่าสุดจังหวัดเชียงใหม่ ออกประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย 2 อำเภอ
รศ.นพ.เฉลิม ลิ่วศรีสกุล หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์และอาจารย์ประจำหน่วยวิชาระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มช.เปิดเผยว่า “จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 ในภาคเหนือที่สะสมมายาวนานกว่า 10 ปี และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในช่วงที่เกิดฝุ่นPM2.5 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเปรียบเทียบอัตราการตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ปี 2553-2564 ระหว่าง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ พบว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงที่สุด นอกจากนี้ยังพบสัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดในคนหนุ่มสาวของประชากรภาคเหนือสูงกว่าภาคอื่นๆ ซึ่งน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับฝุ่น PM2.5 เนื่องจากมีงานวิจัยที่รองรับทั่วโลกแล้วว่าการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาว มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งปอด ได้อย่างมีนัยสำคัญ
หลักฐานสนับสนุนความสัมพันธ์ของฝุ่น PM2.5 กับมะเร็งได้จากงานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ที่ได้ทำการศึกษาผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองในพื้นที่ อ.เชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 สูงอันดับต้นๆของจ.เชียงใหม่ โดยการขูดเซลล์บริเวณกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยถุงลมโป่งพองไปตรวจ เปรียบเทียบกันระหว่างช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูงและช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำ ผลปรากฏว่าในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สูง เซลล์กระพุ้งแก้มของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง บ่งบอกว่ายีนมีความผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ในอนาคต
นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น เลือดกำเดาไหล น้ำมูกไหลจากจมูกอักเสบ เจ็บคอ เสียงแหบ ไอ ซึ่งเป็นอาการจาก PM2.5 ที่ไม่รุนแรง แต่โรคที่มีความรุนแรงซึ่งมีความสัมพันธ์กับปริมาณฝุ่น PM2.5 และพบมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา คือ การกำเริบของโรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดเลือดหัวใจและ โรคหลอดเลือดสมอง” ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่การเจ็บป่วยที่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต
งานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มช. ที่ได้ทำการศึกษาผู้ที่เสียชีวิตในจังหวัดเชียงใหม่ที่สัมพันธ์กับระดับ PM2.5 พบว่าทุกๆ 10 ไมโครกรัม/ลบ.เมตรที่เพิ่มขึ้นของค่าเฉลี่ย PM2.5 รายวัน จะสัมพันธ์กับการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นของประชากรเชียงใหม่ 1.6% ในอีก 6 วันต่อมา
รศ.นพ.เฉลิม ลิ่วศรีสกุล เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “การจะลดจำนวนผู้ป่วยได้นั้น ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ สิ่งสำคัญคือการลดปริมาณฝุ่นได้แก่ ลดการเผาในพื้นที่การเกษตร ควบคุมฝุ่นควันข้ามแดน ส่วนประชาชนจำเป็นต้องปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม แนะนำให้ติดตามค่าฝุ่นละอองทุกวัน หากเกินค่ามาตรฐานควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง หรือหากมีความจำเป็น ควรใส่หน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้คือ หน้ากากมาตรฐาน N-95, KN-95 หรือ FFP2 และใช้ระยะเวลาในการออกนอกอาคารให้สั้นที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการสูด PM2.5 เข้าไปในร่างกายในปริมาณมากๆ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและในระยะยาวได้”
ล่าสุด จังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกประกาศ เขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อัคคีภัย ไฟป่า ในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่อำเภอฝาง และอำเภอพร้าว
สำหรับอำเภอฝางได้เกิดเหตุอัคคีภัยไฟป่าขึ้นในเขตพื้นที่อำเภอฝางเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งภัยดังกล่าวเป็นสาธารณภัยและเป็นภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกายหรือทรัพย์สินของประชาชนหรือก่อให้เกิด วัตถุมลพิษหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและการดำรงชีวิตของประชาชน
ดังนั้นเพื่อประโยชน์ในการจัดการสาธารณภัยให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เร่งด่วนอาศัยอำนาจตามความข้อ 20 วรรคสาม ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุก พ.ศ. 2562 ประกอบกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยแห่งชาติ
ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงประกาศให้พื้นที่ ในอำเภอฝาง ประกอบด้วย -ตำบลเวียง หมู่ที่ 1-20 -ตำบลม่อนปิ่น หมู่ที่ 1-15 -ตำบลแม่คะ หมู่ที่ 1-15 -ตำบลแม่ข่า หมู่ที่ 1-13 -ตำบลแม่งอน หมู่ที่ 1-15 -ตำบลโป่งน้ำร้อน หมู่ที่ 1-7 เป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
เพื่อให้ส่วนราชการหน่วยงานองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในเขตพื้นที่ประสบภัยดังกล่าวตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย พ.ศ. 2550 แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และแผนอื่นที่เกี่ยวข้องตลอดจนกฎหมายระเบียบคำสั่งประกาศและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเร็วและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์และพิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด
ทั้งนี้ต้องไม่เกินสามเดือนนับตั้งแต่วันที่เกิดภัย ส่วนในพื้นที่อำเภอพร้าว ได้เกิดเหตุอัคคีภัย ไฟป่า ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 เวลา 01:30 น. โดยมีพื้นที่ที่ได้รับการประกาศดังนี้ -ตำบลโหล่งขอด หมู่ที่ 1-9 -ตำบลแม่ปั๋ง หมู่ที่ 1-14 -ตำบลแม่แวน หมู่ที่ 1-11 -ตำบลน้ำแพร่ หมู่ที่ 1-8 -ตำบลบ้านโป่ง หมู่ที่ 1-8 -ตำบลป่าตุ้ม หมู่ที่ 1-12 -ตำบลสันทราย หมู่ที่ 1-14
ข่าวที่เกี่ยวข้อง