กาแฟสู้กลับภัยโลกร้อน สตาร์บัคส์พัฒนาเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ใหม่ 6 สายพันธุ์ เพื่อทนทานต่อวิกฤตสภาพอากาศแปรปรวน หลังไร่กาแฟหลายแห่งประสบปัญหาอากาศร้อนทำเมล็ดกาแฟสุกเร็ว
คอกาแฟจะอยู่อย่างไร?
ผู้คนในสหรัฐอเมริกาดื่มกาแฟรวมกันเฉลี่ยประมาณ 517 ล้านแก้วต่อวัน โดยชาวอเมริกาหนึ่งคนดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วโดยเฉลี่ย แต่กาแฟก็เหมือนกับพืชผลอื่น ๆ ที่กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ก็ยังได้รับความเสี่ยงจากการเกิดโรคภัยในพืช ความแห้งแล้ง และสภาพอากาศรุนแรงที่คาดเดาไม่ได้
แหล่งปลูกเจอภัยธรรมชาติ
กาแฟส่วนใหญ่ที่บริโภคกันทั่วโลก มาจาก 2 สายพันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้าและโรบัสต้า แต่ที่ฮิตสุดดูเหมือนจะเป็นเมล็ดกาแฟอาราบิก้า ซึ่งคิดเป็น 70% ของการผลิตกาแฟทั่วโลกผลิตมาจากเมล็ดอาราบิก้า และเป็นส่วนใหญ่ของตลาดกาแฟ ด้วยรสชาติที่นุ่มนวลกว่า ความเปรี้ยวน้อยกว่า และกลิ่นผลไม้ที่กลมกล่อม ทำให้ฮิตในหมู่ผู้ดื่มกาแฟมากที่สุด
อาราบิก้ามีถิ่นกำเนิดในเอธิโอเปียและส่วนใหญ่นิยมปลูกในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกเมล็ดกาแฟเดียวกันกับที่สตาร์บัคส์ใช้ส่งไปยัง 37,000 สาขาทั่วโลก แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นของอเมริกาใต้ มีความเสี่ยงให้เมล็ดกาแฟสุกก่อนกำหนดและทำให้เกษตรกรผู้ผลิตสูญเสียพืชผลไปอย่างง่ายดาย รวมถึงกระทบกับรายได้ส่วนใหญ่ของเกษตรกรในแถบภูมิภาคนั้น ๆ ด้วย
สตาร์บัคแก้เกมด้วยการพัฒนาให้อาราบิก้าทนทานต่อสภาพอากาศมากขึ้น
หากอธิบายความทนทานต่อสภาพอากาศของกาแฟอย่างง่าย อาราบิก้า เป็นเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ต้องปลูกบนที่สูงเพราะต้องการอากาศเย็น ส่วนโรบัสต้า เป็นเมล็ดกาแฟที่ปลูกในพื้นที่ต่ำกว่าได้เพราะไม่ต้องพึ่งอากาศเย็นมากก็ปลูกได้ แม้โรบัสต้าจะทนความร้อนได้มากกว่าอาราบิก้า แต่ก็แพ้ความนิยมของอาราบิก้าเพราะรสชาติที่ไม่ซับซ้อน อาริบิก้านั้นมีรสชาติที่ซับซ้อนกว่า เนื่องจากใช้เวลาปลูกนานกว่า จึงทำให้ระยะเวลาในการกักเก็บสารอาหารนั้นเยอะกว่าโรบัสต้า
สตาร์บัคส์จึงพยายามอย่างหนักเพื่อพัฒนาสายพันธุ์อาริบิก้าที่จะยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน เมล็ดอาราบิก้าที่สตาร์บัคส์พัฒนาขึ้นนั้นได้รับการปลูกฝังเพื่อต้านทานการเกิดสนิมของใบ (โรคสนิมใบกาแฟ) รวมไปถึงเพิ่มศักยภาพที่ให้ผลผลิตสูงในช่วงระยะปลูกที่สั้นลงได้ด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เลโก้ ยกเลิกแผนผลิตตัวต่อเลโก้จากขวดพลาสติกรีไซเคิล เพราะไม่รักษ์โลกจริง
รถไฟนำเที่ยวเมืองทาคาจิโฮะ ใช้ไบโอดีเซลจากซุปราเมงเหลือในการขับเคลื่อน
ทีมงานด้านพืชไร่ของ Starbucks ได้ทดลองปลูกเมล็ดพันธุ์และลูกผสมหลายสายพันธุ์ เพื่อติดตามความต้านทานต่อโรคและการดูดซึมสารอาหารของต้นไม้เป็นเวลายาวนาถึง 6 รุ่นหรือประมาณ 12 ปี ทั้งนี้ Starbucks ไม่ได้พัฒนาเพียงแค่สายพันธุ์เดียวเท่านั้น แต่ยังมีถึง 6 สายพันธุ์
Starbucks มีเป้าหมายใหม่ ที่มุ่งมั่นในการดำรงอยู่ของเมล็ดกาแฟในอนาคต และจะดูทั้งห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่ชาวนาถึงลูกค้าให้มีเมล็ดกาแฟดี ๆ ทนทาน รสชาติดี สร้างรายได้และความประทับใจไปพร้อมกันได้
ขณะนี้ บริษัทกำลังแจกต้นกาแฟที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ 6 สายพันธุ์ให้กับเกษตรกร ไม่ใช่แค่ภายใต้เครือของ Starbucks เพราะร้านกาแฟยักษ์ใหญ่นี้ซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรประมาณ 400,000 รายใน 30 ประเทศ และช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมอบเมล็ดดังกล่าวแล้ว 3 ล้านเมล็ดต่อปี และมอบให้กับไร่กาแฟใน คอสตาริกา ฮอนดูรัส เปรู เม็กซิโก จีน อินโดนีเซีย กัวเตมาลาและนิการากัว
ที่มาข้อมูล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง