รู้หรือไม่ ทุกๆ ครั้งที่เราใช้เอไอประมวลผล เรากำลังมีส่วนทำให้โลกร้อนยิ่งขึ้น ทั้งจากพลังงานที่ระบบคอมพิวเตอร์ต้องใช้ในการประมวลผล ไปจนถึงระบบหล่อเย็นเซิร์ฟเวอร์ที่กินไฟปริมาณมหาศาล
เป็นที่ทราบกันดีว่าตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยแห่งเอไอ หรือ Artificial Intelligence ปัญญาประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ ที่ในขณะนี้ เอไอกำลังมีบทบาทมากขึ้นในทั้งโลกของการทำงาน ที่โปรแกรมอย่าง ChatGPT เข้ามามีบทบาทช่วยประมวลผล ทำให้งานที่น่าเบื่ออย่าง การตอบอีเมล เขียนบทความง่ายๆ หรือการค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ทำได้รวดเร็วขึ้น หรือแม้กระทั่งในโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์ ที่ไอเอใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ก็สามารถสร้างสรรค์รูปวาด หรือแม้กระทั่งแต่งเพลงออกมา แถมทำได้ดีไม่แพ้มนุษย์
โดยในปัจจุบัน มีข้อมูลเปิดเผยว่า ผู้คนมากกว่า 100 ล้านคน ได้หันมาใช้เอไอ อย่างเช่น ChatGPT ในการทำงานแล้วทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเอไอได้สร้างความหวาดหวั่นหลายประการให้กับมนุษย์ ทั้งความกังวลว่า คนจำนวนมากทั่วโลกกำลังจะตกงานจากความสามารถของเอไอที่กำลังทำหน้าที่แทนมนุษย์ในงานต่างๆ โดยไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไปจนถึง เอไออาจพัฒนาความฉลาดจนคิดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์แบบในภาพยนต์ฮอลลีวูด
เอไอคือหนึ่งปัจจัยทำโลกร้อน
ถึงแม้ว่าในขณะนี้ เอไอยังไม่ถึงกับเป็นภัยต่อโลกและมนุษย์ถึงขั้นที่หลายๆ คนหวาดกลัว แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ออกมาแสดงความกังวลกันแล้วถึงความเสี่ยงชัดเจนของการใช้เอไอที่อาจส่งผลร้ายต่อโลกและมนุษย์ นั่นก็คืออัตราการใช้พลังงานของเอไอในการประมวลผล เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และรักษาฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์ให้เย็นอยู่ตลอดเวลา ที่นำไปสู่การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ส่งผลกระทบให้สภาวะโลกร้อนรุนแรงยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เตือนภัย AI ขโมยรหัสผ่าน ใช้เสียงแป้นพิมพ์ แม่นยำ 95% แนะใช้สแกนหน้า-นิ้วแทน
ภาวะโลกร้อนเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดมากขึ้น
จากรายงานของสำนักข่าว Cybernews ได้ชี้ว่า มีหลักฐานหลายประการที่กำลังแสดงให้เห็นว่า ระบบคอมพิวเตอร์ที่รองรับการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น โดยเฉพาะยิ่งเอไอถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ามากเท่าใด อัตราการกินไฟของระบบคอมพิวเตอร์ทั้งระบบยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ข้อมูลจากสถาบัน Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT เผยว่า ระบบ cloud computing ที่รองรับระบบปฏิบัติการของเอไอมีการปลดปล่อยคาร์บอนมากกว่าอุตสาหกรรมการบินทั้งโลกเรียบร้อยแล้ว โดยมีสัดส่วนของการปลดปล่อยคาร์บอนทั้งโลกถึงกว่า 2%
ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น data center เพียงแห่งเดียว ก็มีอัตราการกินพลังงานเทียบเท่ากับพลังงานที่ครัวเรือนอเมริกัน 100 บ้านใช้ในช่วงเวลาหนึ่งปีเต็ม
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Technology Review ยังเผยว่า พลังงานที่ต้องใช้ในการเทรนเอไอเพียงหนึ่งตัวให้สามารถประมวลผลได้ ยังปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 626 ปอนด์ (213 กิโลกรัม) เทียบเท่ากับปริมาณคาร์บอนที่รถยนต์ 1 คันจะปล่อยมลพิษตลอดชีวิตการใช้งานถึง 5 เท่า
นักวิจัยของกูเกิลยังเปิดเผยข้อมูลว่า เมื่อคำนวณการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของเอไอแล้ว ถือว่าเป็นภาคที่ใช้พลังงานมหาศาล คิดเป็น 10 – 15% ของพลังงานทั้งหมดที่ภาคธุรกิจเทคโนโลยีใช้ โดยเฉพาะเอไอของกูเกิลที่ใช้ไฟฟ้าสูงถึง 2.3 terawatt hours ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับพลังงานทั้งหมดที่ประชากรในสิงคโปร์จำนวนกว่า 6 ล้านคนใช้ในหนึ่งปี
Sasha Luccioni นักวิจัยจาก Hugging Face ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับผู้พัฒนาเอไอ เปิดเผยว่า GPT-3 ซึ่งเป็นหนึ่งในเอไอที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลกมีอัตราการปลดปล่อยคาร์บอนสูงถึง 500 ตันต่อปี เทียบได้กับปริมาณคาร์บอนที่ปลดปล่อยจากเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่าง ลอนดอน – นิวยอร์ก 600 เที่ยว
นักวิจัยเผยว่า สาเหตุที่ทำให้การใช้พลังงานอย่างเข้มข้นของเอไอเป็นภัยต่อโลกนั้น ก็เพราะระบบผลิตพลังงานส่วนใหญ่ของโลกยังคงพึ่งพิงการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลเช่น น้ำมัน ถ่านหิน และแก๊ซธรรมชาติ เป็นหลัก ซึ่งนอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเหล่านี้จะปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาล ทำให้โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยังปลดปล่อยมลพิษจำนวนมาก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
ยิ่งไปกว่านั้น การดูแลรักษาฮาร์ดแวร์และเซิร์ฟเวอร์ที่ระบบเอไอใช้ในการปฏิบัติการยังใช้พลังงานสูงเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้ระบบทำความเย็นแบบใด ก็หลีกเลี่ยงที่ใช้ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลเพื่อเลี้ยงระบบให้เย็นฉ่ำตลอกเวลาไม่ได้
“แม้การพัฒนาระบบเอไออย่างก้าวกระโดดและการหันมาใช้เอไอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายอุตสาหกรรมจะส่งผลดีหลายอย่างต่อมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่าข้อมูลต่างๆ ที่เอไอประมวลผลได้ ล้วนมีรอยเท้าคาร์บอนปริมาณมหาศาลอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นการลดคาร์บอนจากภาคเทคโนโลยีและเอไอ จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เราพิชิตเป้าหมายกู้โลกร้อนได้” Justin Bean นักเขียนและนักขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืนในวงการเทคโนโลยี กล่าว
แต่เอไอก็อาจเป็นทางออกโลกร้อนเช่นกัน
แม้ว่าในขณะนี้ เอไอถือบทผู้ร้ายที่กำลังช่วยเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกร้อนขึ้น หากแต่นักวิจัยหลายคนกลับเห็นว่า เรายังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยแก้ให้ระบบปฏิบัติการเอไอ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและยังอาจเป็นหนึ่งในทางรอดที่ช่วยให้เรากู้วิกฤตโลกเดือดไปได้
หนึ่งในวิธีที่กูเกิลเลือกใช้ในการลดรอยเท้าคาร์บอนให้กับระบบปฏิบัติการเอไอของตน คือการย้าย data center และที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ไปยังพื้นที่ผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น การย้ายฐานปฏิบัติการเอไอไปยังเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ซึ่งใช้แหล่งไฟฟ้าจากพลังงานน้ำเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคในการเทรนและใช้ระบบปฏิบัติการเอไอ โดยเลือกเปลี่ยนเวลาทำงานเป็นช่วง off-perk ซึ่งมีการใช้พลังงานน้อยกว่าอีกด้วย
Alexis Normand ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Greenly แพลตฟอร์มที่ช่วยนับรอยเท้าคาร์บอนให้กับบุคคลและธุรกิจต่างๆ กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วยความสามารถในการประมวลผลที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ของเอไอ อาจจะเป็นผลดี ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์หาทางออกแก้วิกฤตโลกร้อนได้ดีขึ้น แต่กระนั้น การใช้เอไอควรเป็นไปอย่างมีความรับผิดชอบต่อโลกและสิ่งแวดล้อม โดยหันไปใช้พลังงานหมุนเวียนที่ปลดปล่อยคาร์บอนต่ำให้มากขึ้น