คุณหมอเพจ "สู้ดิวะ" ตั้งคำถามดุดัน หนักหน่วงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม ในประเด็น PM 2.5 พร้อมทั้งเรียกร้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลค่าฝุ่น ดูแลเรื่องมลพิษทางอากาศ เพราะมันไม่ควรให้ปัญหามันแย่ จนถึงจุดที่ต้อง "ซื้ออากาศ" หายใจกันในอนาคต
คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี หมอเจ้าของเพจ "สู้ดิวะ" ซึ่งป่วยเป็น "มะเร็งปอดระยะสุดท้าย" ทั้งที่อายุน้อย ชอบออกกำลังกาย และมีสุขภาพที่แข็งแรง และกลายเป็นที่รู้จักในสังคมในช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมา ล่าสุด คุณหมอเพจ "สู้ดิวะ" ได้ตั้งคำถาม พร้อมทั้งเรียกร้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลค่าฝุ่น ดูแลเรื่องมลพิษทางอากาศ เพราะมันไม่ควรให้ปัญหามันแย่ จนถึงจุดที่ต้อง "ซื้ออากาศ" หายใจกัน
หมอเจ้าของเพจ "สู้ดิวะ" แสดงความคิดเห็นใน Facebook สู้ดิวะ โดยบอกว่า ปัจจุบัน เชียงใหม่ เต็มไปด้วย PM2.5 และมันเลวร้ายมากๆ แม้มันจะไม่ใช่ปัจจัยเพียงปัจจัยเดียว ที่ทำให้เขาเป็นมะเร็งปอด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฝุ่น PM2.5 ก็คือตัวเร่งให้สุขภาพของคนนั้นแย่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• ค่าฝุ่นในชีวิตประจำวันมันสูงจนเป็นอันตรายต่อชีวิต
"เช้านี้ผมขึ้นตื่นมาพร้อมกับค่าฝุ่น 186 ในห้องที่กำลังรอรับการฉายแสงครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่า ฝุ่นควันในเชียงใหม่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ผมเป็นมะเร็งหรอกครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผล ปัจจุบันผลการศึกษามากมาย มันพิสูจน์มาหมดแล้วครับ พวกตัวเลขค่าฝุ่นเท่านี้เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่กี่มวนอะไรแบบนี้ ลองหาข้อมูลได้เลยครับ
.
และตอนนี้ผมอาการไม่สู้ดีนัก กำลังเข้ารับการรักษาด้วยการฉายแสงให้กับมะเร็งในสมองก้อนใหม่ เวลาของผมเหลือน้อยลงทุกทีแล้วครับ ในระหว่างที่ผมนั่งอยู่ในห้องพักโรงพยาบาล ผมก็คิดว่า ยังมีเรื่องไหนที่ผมอยากพูด แต่ยังไม่ได้พูด
.
หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่อง ฝุ่น PM 2.5 อย่างที่ทุกท่านทราบตัวผมเองเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่ชอบออกกำลังกายมากครับ แน่นอน ถึงผมจะพอมีความรู้ แต่ผมก็คือวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง ที่ความฝันในการได้แชมป์บาสเกตบอลของผมมันใหญ่มากพอที่จะทำให้ผมไปซ้อมในวันที่ค่าฝุ่นแย่มากๆผมก็มองว่าร่างกายผมเนี่ยก็น่าจะฟิตอยู่แหละ เราไปออกกำลังกายได้ฝึกปอดฝึกหัวใจ สูดฝุ่นหน่อย ก็หักล้างกันไป ไม่เป็นไรหรอก คนอื่นก็สูดกัน ไม่เป็นไรหรอกน่า แล้วผมก็เป็นมะเร็งปอดครับ
.
ผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็ง ติดเครื่องฟอกอากาศ ทำห้องความดันบวก เพื่อให้อากาศมันสะอาดจริงๆ"
• ปัญหาเรื่องฝุ่น ไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนต้องแบกรับ
ขณะเดียวกัน หมอเจ้าของเพจ "สู้ดิวะ" ยังเรียกร้องอีกว่า ปัญหาเรื่องฝุ่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนต้องแบกรับมันไว้บนบ่า ทั้งเรื่องค่าหน้ากาก ,ค่าเครื่องฟอกอากาศ และนี่คือสิ่งที่ตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำของสังคม
"คำถามที่ผมมี คือมันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนจริงหรือไม่ ที่ต้องแบกรับค่าหน้ากาก ค่าเครื่องฟอก ประชาชนหลายอาชีพเองก็ไม่ได้สะดวกพอที่จะหลีกเลี่ยงฝุ่นอันตรายนี้ ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะติดตั้งเครื่องมือที่จะเพิ่มคุณภาพอากาศที่พวกเขาต้องหายใจเข้าไปทุกวันนี้
มันน่าเศร้ามากเมื่อมองว่าความเหลื่อมล้ำของประเทศเรามันไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจแต่เป็นตั้งแต่พื้นฐานเรื่องของอากาศหายใจที่แสนจะสำคัญต่อชีวิตคน
เราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจจริงๆเหรอ?
ผมไม่ใช่นักการเมือง และผมไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ ผมเป็นเพียงประชาชนที่เกิดคำถามเชิงโครงสร้างต่อ “การจัดลำดับและให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศที่ประชาชนอย่างเราหายใจกันอยู่ทุกวันนี้”
ผมคิดแบบตรรกะของคนทั่วไปเลยคือเราต้องเริ่มแก้ปัญหา PM2.5 ให้ตรงจุดก่อนไหมครับ ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญหรือให้น้ำหนักกับการแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดของ PM2.5 อย่างจริงจังมากพอ มันจะต้องมีหน่วยงานจริงจังขึ้นมาแล้ว เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ คนเก่งๆในประเทศเรามีเยอะแยะ งบประมาณเราก็มี นักการเมืองก็มี นักวิชาการก็มี"
• เราต้องซื้ออากาศบริสุทธิ์หายใจกันแล้ว ?
นอกจากนี้ คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี หมอเจ้าของเพจ "สู้ดิวะ" ยังย้ำในท้ายประเด็นว่า ทั้งที่ไทยเจอปัญหาฝุ่น PM2.5 มาหลายต่อหลายปี แต่ทำไมฝ่ายบริหาร จึงยังไม่มีความชัดเจนในความพยายามจะแก้ปัญหาที่ต้นตอ และทำไมจึงไม่หาทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเสียที
"ประเทศเราติดอันดับปัญหาฝุ่นในระดับโลกกันมาติดต่อกันหลายปี ทำไมเราถึงยังไม่เห็นความชัดเจนในการให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพอากาศ หรือความชัดเจนในการพยายามหาต้นตอของปัญหาเฉพาะแต่ละพื้นที่ มันไม่ใช่แค่การเผาป่า หรือปัญหารถติด มันมีหลายสาเหตุแหละครับที่ทำให้มีปัญหาฝุ่น
แต่ประเทศไทยกลับยังไม่มีงานศึกษาที่ชัดเจนและลงลึกถึงสาเหตุ PM 2.5 หลัก ๆ ในประเทศไทยว่าตกลงอะไรคือสาเหตุหรือแหล่งกำเนิดหลักของ PM2.5 ในประเทศไทยแต่ละภาคส่วนกันแน่ มันต้องมีการวิเคราะห์และไปแตะสิ่งที่เป็นรากฐานของปัญหาของฝุ่น PM2.5 อย่างแท้จริงสิ บ้านเราจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นได้อย่างยั่งยืนสักที จริงไหมครับ เราจะแก้ปัญหาฝุ่นควันแบบเป็นปัญหา “เร่งด่วน” ไปทุกปีแบบนี้ไม่ได้นะครับ
ผมน่ะ คงอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ แต่เด็กน้อยแสนน่ารักที่ทักทายผมในลิฟท์หลังจากที่ผมไปฉายแสงมาเมื่อวาน ผมแค่คิดว่าเด็กเหล่านั้นไม่ควรต้องมารับความเสี่ยงกับโรคร้ายหรือภาวะเจ็บป่วยเหมือนกับผม เขาควรจะได้มีสิทธิพื้นฐานของมนุษยชาติ คือการได้มีอากาศสะอาดหายใจ ได้เล่นบาสกับเพื่อนกลางแจ้ง โดยที่ไม่ต้องใส่หน้ากาก
เขาไม่ควรต้องมาซื้ออากาศหายใจครับ ผมเพียงหวังให้เขาจะได้อยู่ในประเทศที่อากาศที่สะอาด และมีชีวิตที่สดใสร่าเริงไปได้นานที่สุดครับ"