มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโอลิมปิกกำลังบรรเลงอยู่ในกรุงปารีส ทัพนักกีฬาไทย 51 คนที่เข้าร่วมแข่งขันต่างแบกศักดิ์ศรีไว้ที่ธงบนหน้าอก และแบกอนาคตในฐานะนักกีฬาไว้บนไหล่ทั้งสองข้าง
ถึงแม้การเข้าร่วมโอลิมปิกเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับนักกีฬา แต่กลับไม่ใช่หลักประกันถึงคุณภาพชีวิตที่ดี ดั่งที่ปรากฎบนหน้าข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงชีวิตหลังทีมชาติของนักกีฬา เช่น พเยาว์ พูนธรัตน์ นักกีฬาคนแรกที่คว้าเหรียญโอลิมปิกกลับสู่แผ่นดินไทย เขาเสียชีวิตอย่างยากลำบากด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่งมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บที่สะสมจากการชกมวย
เมื่อปรากฎการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เราจึงลงไปสำรวจว่าชีวิตหลังมหกรรมกีฬาโอลิมปิกของนักกีฬาไทยเป็นอย่างไร ภาครัฐไทยสนับสนุนและดูแลพวกเขาอย่างไรบ้าง ดีเพียงพอไหม หรือเป็นเช่นที่ใครสักคนพูดไว้ว่า... เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
เปิดโครงสร้างสวัสดิการนักกีฬาโอลิมปิกไทย
ถ้าจะอธิบายโครงสร้างสวัสดิการนักกีฬาทีมชาติไทย แบ่งออกได้เป็น 3 ขาใหญ่ๆ ได้แก่
ในขานี้แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับแรงสนับสนุนจากภาคเอกชน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องใดกับภาครัฐ
โดยขานี้ค่อนข้างซับซ้อน เพราะในบางกรณี เช่น เพ็ญศิริ เหล่าศิริกุล ที่ได้รับเหรียญทองแดงโอลิมปิก (2008) ย้อนหลัง ก็ไม่ได้รับโอกาสเข้ารับราชการ หรือกรณีของ บุตรี เผือดผ่อง ที่ต้องสอบเข้าเป็นพนักงานไปรษณีย์ด้วยตัวเอง
ชาลิณี สนพราย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ทำวิจัยเรื่องกีฬากับการเมืองให้ความเห็นว่า ระบบที่ข้าราชการเข้ามาโอบอุ้มวงการกีฬาเกิดขึ้นเพราะการสนับสนุนวงการกีฬาที่ไม่เป็นระบบและธุรกิจกีฬาที่ไม่แข็งแรง ระบบราชการจึงกลายเป็นตาข่ายที่เข้ามารองรับชีวิตของนักกีฬาเอาไว้หลังเลิกเล่น พร้อมกับที่เป็นแม่เหล็ก ดึงดูดนักกีฬารุ่นใหม่ๆ ให้วางใจที่จะเข้าสู่วงการกีฬา
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ระบบแบบนี้กลับ “บ่อนเซาะระบบราชการ” เพราะนักกีฬาที่เข้าไปอาจไม่ได้มีทักษะที่สอดรับกับที่ระบบราชการต้องการ ทำให้ระบบราชการขาดประสิทธิภาพและไม่โปร่งใส อีกทั้งยังมีแนวโน้มทำให้เกิดการสร้างอาณาจักรของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ดั่งที่เห็นได้ว่านายกสมาคมกีฬามักเป็นอดีตข้าราชการเกษียณเป็นส่วนมาก
ในส่วนนี้ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ สวัสดิการในฐานะนักกีฬาทีมชาติโดยทั่วไปและสวัสดิการสำหรับนักกีฬาที่เข้าร่วมโอลิมปิก
ในด้านรายได้ ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท.เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเดือนมกราคมปี 2024 ว่า นักกีฬาทีมชาติไม่มีเงินเดือน แต่จะได้รับเบี้ยเลี้ยง 900 บาท/ วันตลอดระยะเวลาที่เตรียมทีม และอาจมากกว่านี้ขึ้นกับว่าสมาคมกีฬาที่สังกัดได้รับแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากส่วนอื่นหรือไม่
ในด้านสวัสดิการ ตามประกาศคณะกรรมการบริหารพัฒนาการกีฬาแห่งชาติระบุไว้ว่า ผู้มีสิทธิขอรับความช่วยเหลือ ประกอบด้วย นักกีฬาทีมชาติ, นักกีฬาจังหวัด, บุคลากรกีฬา และอดีตนักกีฬาทีมชาติที่ผ่านการแข่งขันมาแล้วไม่เกิน 4 ปี โดยกองทุนมีสวัสดิการช่วยเหลือในด้าน
ทั้งนี้ กองทุนยังเปิดช่องให้อดีตนักกีฬาสามารถขอความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลเพิ่มเติมได้ ผ่านการพิจารณาความรุนแรงของโรคเป็นรายๆ ไป (ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นโรครุนแรง เช่น มะเร็งระยะลุกลาม, เนื้องอกสมอง, การผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะสำคัญ)
สำหรับนักกีฬาทีมชาติไทยที่เข้าร่วมโอลิมปิกในปี 2024 ทางกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) ออกหลักเกณฑ์ไว้ชัดเจนว่า นักกีฬาที่เข้าร่วมโอลิมปิกและสามารถคว้าเหรียญรางวัลกลับมา สามารถเลือกรับเงินรางวัลได้ 2 รูปแบบ คือจ่ายรวดเดียวและแบ่งจ่าย (จ่าย 50% แล้วแบ่งจ่ายอีก 50% ในระยะเวลา 4 ปี) โดยเป็นเงินรางวัล ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการระบุถึงเงินรางวัลพิเศษสำหรับนักกีฬาที่เข้าร่วมโอลิมปิก แต่ไม่ได้รับเหรียญ ซึ่งไทยเคยมอบให้แก่นักกีฬาที่เข้าร่วมโอลิมปิกเกมส์ปี 2016 คนละ 100,000 บาท
คำถามคือสวัสดิการดังกล่าวเหมาะสมและเพียงพอต่อนักกีฬาที่ทุ่มทั้งหมดของชีวิตเพื่อติดทีมชาติและเข้าร่วมโอลิมปิกหรือไม่?
ชีวิตอดีตนักกีฬาโอลิมปิกไทย
“ผมไม่เคยได้รับอะไรจากภาครัฐเลย นอกจากขันน้ำพานรองจาก กทม.หนึ่งใบ”
ข้างต้นคือคำบอกเล่าของ ขาวผ่อง หรือ ทวี อัมพรมหา เจ้าของเหรียญเงินจากโอลิมปิกปี 1984 โดยนอกเหนือจากนั้นเขาได้รับเงินอัดฉีดจำนวน 1 ล้านบาทและบ้านหนึ่งหลังจากผู้จัดการทีม และเข้าทำงานใน บ.โอสถสภา บริษัทที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา เวลาผ่านไปหลายสิบปี กว่าที่คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยจะหันมาเห็นขาวผ่อง และมอบเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท/ เดือนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 20 ปี ซึ่งในปัจจุบันหมดลงแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ขาวผ่องยังเล่าถึงปัญหาด้านสวัสดิการการรักษา ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยติดต่อไปที่ กกท.เพื่อขอเงินช่วยเหลือในการผ่าตัดต่อมทอนซิล แต่ถูกปฏิเสธ เนื่องจากไม่ใช่กรณีที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต ซึ่งสำหรับเขามัน “แทงลึกลงไปในจิตใจ” ของเขามาก
คำบอกเล่าของขาวผ่อง ใกล้เคียงกับ บุญศักดิ์ พลสนะ อดีตนักกีฬาแบตมินตันทีมชาติไทยที่เข้าร่วมโอลิมปิกมากถึง 5 ครั้ง (2002 - 2016) และทำผลงานได้ดีที่สุดด้วยลำดับที่ 4 ในโอลิมปิกปี 2004 โดยบุญศักดิ์เล่าว่า เขาไม่เคยได้รับสวัสดิการอะไรจากภาครัฐ นอกจากเบี้ยซ้อม และรางวัลปลอบใจจากการได้ที่ 4 เท่านั้น
“มันเป็นเแบบนี้มานานแล้ว มีรุ่นพี่หลายคนที่กังวลว่าหลังเลิกเล่นหรือถ้ามีอาการบาดเจ็บใครจะเป็นคนดูแล ส่วนใหญ่หลังเลิกเล่น อาจโชคดีได้รับราชการ (ทหารเรือ) เหมือนผม แต่บางคนก็อาจไม่ได้โอกาส” บุญศักดิ์กล่าว
เรื่องเล่าทั้งหมด ถูกตอกย้ำผ่านงานวิจัยการจัดสวัสดิการให้นักกีฬาโอลิมปิกของประเทศไทยที่เก็บข้อมูลนักกีฬาทีมชาติไทยที่เข้าร่วมโอลิมปิก 77 คนพบว่า นักกีฬาที่เคยเข้าร่วมโอลิมปิกมากกว่าครึ่งยังคงประกอบอาชีพด้านกีฬา และส่วนใหญ่มีรายได้อยู่ที่ 20,000 - 25,000 บาท/ เดือนเท่านั้น
งานวิจัยดังกล่าวยังพบว่า นักกีฬาที่เคยเข้าร่วมโอลิมปิกล้วนคาดหวังให้ภาครัฐมีสวัสดิการที่ดีขึ้นให้แก่นักกีฬาและอดีตนักกีฬาโอลิมปิก โดย 3 ลำดับแรก ได้แก่
หรืออาจสรุปได้ว่าในมุมของนักกีฬาที่เคยเข้าร่วมโอลิมปิก พวกเขายังคาดหวังแรงสนับสนุนและสวัสดิการจากภาครัฐมากกว่านี้ อย่างน้อยเพื่อให้คุ้มกับที่ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อเกียรติยศของธงชาติบนหน้าอก
4 ข้อเสนอพัฒนาสวัสดิการนักกีฬาโอลิมปิก
เราได้พูดคุยกับ เยาวภา บุรพลชัย เจ้าของเหรียญเงินเทควันโดโอลิมปิกปี 2004 และนายกสมาคมนักกีฬาโอลิมปิกแห่งประเทศไทย และ ดร.สุพิตร สมาหิโต รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย เพื่อหาข้อเสนอให้การพัฒนาสวัสดิการของนักกีฬาโอลิมปิกไทย สรุปออกมาได้ทั้งหมด 4 ประการ
เยาวภาเปรียบว่านักกีฬาที่ไปเป็นตัวแทนประเทศในการแข่งโอลิมปิก ก็ไม่ต่างจาก “ทหาร” ซึ่งต้องทุ่มเทและฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อเป็นตัวแทนประเทศ ดังนั้น รัฐควรดูแลนักกีฬาในด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งเลิกเล่นให้กับทีมชาติแล้ว
“อยากให้แก้เรื่องรักษาพยาบาลเป็นลำดับแรก อย่างน้อยนักกีฬาจะได้ไม่ต้องอนาถา ถ้านักกีฬาไปแข่งโอลิมปิกไม่ต้องไปกังวลเรื่องเจ็บป่วย อย่างน้อยเขาจะได้สบายใจเรื่องนี้และไปทำประโยชน์อื่นต่อได้” เยาวภากล่าว
ข้อเสนอด้านนี้เริ่มมีการขยับบ้างแล้ว โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพิ่งมีการจัดตั้งสมาคมนักกีฬาโอลิมปิกไทยขึ้น โดยหวังเป็นศูนย์กลางเชื่อมอดีตนักกีฬาไทยที่เข้าร่วมโอลิมปิก และผลักดันให้นักกีฬามีคุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างประโยชน์ต่อสังคมให้มากที่สุด
ดร.สุพิตร หนึ่งในที่ปรึกษาสมาคมนักกีฬาโอลิมปิกไทยให้ข้อมูลว่า ในขั้นแรก ทางสมาคมกำลังจัดทำทำเนียบนักกีฬาโอลิมปิกไทย เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลของนักกีฬาทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้แก่นักกีฬา รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนที่มุ่งมั่นอยากเป็นนักกีฬา
ดร.สุพิตรยังหวังให้สมาคมดังกล่าวเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยนักกีฬาที่ไม่ได้รับรางวัลหรือเลิกเล่นแล้ว ในการสร้างอาชีพที่เหมาะสม โดยเฉพาะการพัฒนานักกีฬาสู่อาชีพที่เกี่ยข้องกับวงการกีฬาอื่นๆ เช่น โค๊ช, ดูแลนักกีฬา หรืออาสาสมัคร
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ยอมรับว่าสมาคมยังอยู่ในระยะตั้งไข่เท่านั้น โดยขณะนี้กำลังจดทะเบียนสมาคมกับกระทรวงมหาดไทย และยังต้องอาศัยแรงสนับสนุนอีกมาก โดยเฉพาะจากภาครัฐ
ในข้อนี้ เยาวภาเสนอว่าภาครัฐควรจัดตั้งองค์กรที่รองรับนักกีฬาโอลิมปิกที่เลิกเล่นโดยเฉพาะ มากกว่าจะปล่อยให้พวกเขากลายเป็นทหาร, ตำรวจ หรือเข้ารับราชการแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อใช้ศักยภาพและประสบการณ์ของนักกีฬาได้อย่างสูงสุด และเพื่อเลี่ยงข้อครหาว่า “ทำไมเป็นนักกีฬาถึงต้องเป็นข้าราชการ? ทำไมต้องกินภาษีประชาชนสองทาง?”
ดร.สุพิตรชี้ว่าการเป็นนักกีฬาเสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษา ดังนั้น ควรมีองค์กรเข้าไปเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนักกีฬาและสถาบันการศึกษา เพื่อป้องกันไม่ให้นักกีฬาหลุดจากระบบการศึกษาและมีลู่ทางในอาชีพอื่นต่อไป
ดร.สุพิตรเสนอว่ารัฐไม่จำเป็นต้องอัดฉีดเฉพาะนักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัล แต่ควรสนับสนุนเงินให้แก่นักกีฬาตั้งแต่ถูกคัดเลือกเข้าสู่โอลิมปิก เพราะผู้ที่ได้รับเหรียญจากโอลิมปิกมีเพียงแค่ 1/ 3 ของกีฬาแต่ละประเภทเท่านั้น ดังนั้น จึงมีนักกีฬาจำนวนมากที่พลาดเงินอัดฉีด
“ให้เงินช่วยเหลือเขาก่อนเลยได้ไหม ไม่จำเป็นต้องรอให้เขาได้เหรียญ มันไม่เยอะเลย เช่นครั้งนี้ก็ 51 คน สมมติให้คนละ 100,000 บาทก็ไม่มากเท่าไหร่จริงไหม (5.1 ล้านบาท)” ดร.สุพิตรกล่าว
“อย่างนักกีฬาบางคนไม่ได้เหรียญ เขาก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนมากได้ไม่ใช่หรอ เช่น วีรยา สุขเกษม ถึงเขาไม่ชนะ แต่เขาก็ชนะใจเราไปแล้ว มันก็น่าจะมีรางวัลให้เขาบ้าง หรืออยากให้ดูแลเขาบ้าง เช่น เรื่องรักษาพยาบาล” เยาวภากล่าว
ปลายน้ำไม่ดี ต้นน้ำไม่มีทางดี
เมื่อวงการธุรกิจกีฬาในไทยยังไม่แข็งแรง บวกกับสวัสดิการที่ยังไม่ครอบคลุม ทำให้บุญศักดิ์และเยาวภาในฐานะอดีตนักกีฬาโอลิมปิกและนักธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาต่างเห็นตรงกันว่า สวัสดิการนักกีฬาที่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ ส่งผลให้ต้นน้ำหรือการสร้างนักกีฬารุ่นใหม่มีปัญหา
"นักกีฬาหรือผู้ปกครองที่จะทุ่มเทกับกีฬาก็ต้องคิดแล้วว่า เขาจะยอมมุ่งมาทางด้านกีฬาดีไหม มันมีแรงจูงใจที่ดีไหม ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่มีอะไรเลย ทำให้เราไม่ค่อยเห็นนักกีฬาที่มาจากทางบ้านที่มีฐานะไม่พร้อม เพราะถ้าเขาไปได้ไม่สุด มันมีอะไรรองรับเขาเลย เขาต้องกลับไปเรียน กลับไปเริ่มต้นใหม่" บุญศักดิ์กล่าว
“อุปสรรคของคนที่สอนกีฬาปัจจุบันคือ พ่อแม่ไม่ยอมให้ลูกมุ่งมั่นเต็มร้อยกับกีฬา เพราะกังวลว่าถ้าไม่สำเร็จ มันจะไม่ได้อะไรเลย ดังนั้น เอาเวลาไปติวหนังสือเพื่อเป็นอาชีพที่ได้เงินเยอะๆ ดีกว่า” เยาวภากล่าว
ประเด็นนี้ตรงกับที่ผู้ปกครองของวีรยา นักกีฬาสเก็ตบอร์ดที่เข้าร่วมโอลิมปิกปี 2024 เคยเล่าให้เราฟังว่า ทั้งคู่ต้องใช้เงินส่วนตัวเพื่อพาวีรยาเข้าแข่งในรายการต่างๆ ซึ่งบางครั้งไกลถึงประเทศฮังการี และกว่าที่จะสมาคมจะเข้ามาช่วยเหลือก็เมื่อวีรยาคว้าตั๋วโอลิมปิกได้แล้ว
เยาวภาชี้ว่าภาครัฐต้องทำอย่างน้อย 3 อย่างถ้าอยากพัฒนาวงการกีฬาไทย หนึ่งคือสร้างแรงบันดาลใจ สองคือจัดสวัสดิการรองรับที่ดี และสามสร้างโอกาสการเข้าถึงกีฬาให้มากขึ้น เช่น นำหลักสูตรกีฬาโดยเฉพาะวิ่ง, ว่ายน้ำ และยิมนามสติกซึ่งเป็นกีฬาพื้นฐานเข้าสู่ระบบการศึกษา
“เราคิดว่ารัฐบาลสนับสนุนกีฬาแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เป็นระบบเต็มที่ การสนับสนุนกีฬามันต้องสนับสนุนตั้งแต่รากฐาน มันต้องสร้างและต้องใช้เวลาเป็น 5-10 ปี แล้วเราจะเห็นเพชรในวงการกีฬาไทยมากขึ้น” เยาวภาทิ้งท้าย