SHORT CUT
เปิดประวัติ มุสโสลินี เผด็จการ คลั่งชาติ บ้าสงคราม ที่คิดว่าชาติตัวเองเป็นที่ 1 ที่มีจุดจบคือต้องพบกับความพ่ายแพ้และประเทศเสียหายยับเยิน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของอิตาลี ซึ่งมีรากฐานย้อนกลับไปนับพันปีจนถึงยุคโรมันและก่อนหน้านั้น บุคคลสำคัญผู้หนึ่งที่ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งความทรงจำ ความรักชาติ ความชิงชัง และความเจ็บช้ำน้ำใจไว้ให้คนอิตาลีในปัจจุบันได้สัมผัส คือ เบนีโต มุสโสลินี (Benito Mussolini)
เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของอิตาลีในช่วงปี ค.ศ. 1922 ถึง 1943 ซึ่งเป็นระยะเวลาประมาณ 20 ปีที่ถูกขนานนามในประวัติศาสตร์อิตาลีว่า ‘ยี่สิบปีแห่งฟาชิสต์’ (Il ventennio fascista) ช่วงเวลานี้ยังคาบเกี่ยวกับการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1939 – 1945 บทความนี้จะนำเสนอเรื่องราวโดยละเอียดเกี่ยวกับมุสโสลินี โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ท่านได้มอบให้ เพื่อให้เข้าใจถึงภูมิหลัง การขึ้นสู่อำนาจ การปกครอง และผลกระทบที่เขามีต่ออิตาลี
ชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีคือ มุสโสลินี ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นนามสกุล ส่วนชื่อจริงของเขานั้นยาวมาก คือ เบนีโต อมัลคาเร อันแดรฺอา มุสโสลินี ชื่อทั้งหมดนี้มีความเป็นมา โดยเฉพาะชื่อ เบนีโต นั้นมาจากชื่ออดีตผู้นำของเม็กซิโก พ่อของเขาซึ่งเป็นช่างเหล็กมีความคิดทางสังคมนิยมที่รุนแรง และตั้งชื่อลูกชายตามรายชื่อนักการเมืองแนวสังคมนิยมทั้งในและนอกประเทศอิตาลี อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ชื่อของเขาไม่ใช่ชื่ออิตาเลียนทั่วไป จึงมีคนเรียกผิดเป็น เบเนเด็ต
มุสโสลินีเป็นเด็กที่เรียนเก่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เกเรและชอบความรุนแรง เคยแทงเพื่อนอย่างน้อย 2 คนในวัยเด็ก กระนั้นก็ตาม เขาก็เป็นคนรักวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ และการเมือง ทำให้เขาได้ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นเวทีที่เขาได้แสดงความคิดทางการเมืองอย่างเต็มที่ โดยหนังสือพิมพ์ที่เขาทำนั้นล้วนเป็นของกลุ่มสังคมนิยม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 หนังสือพิมพ์ที่มุสโสลินีทำงานและพรรคสังคมนิยมที่เขาสังกัดอยู่มีจุดยืนเป็นกลาง แต่เขากลับสนับสนุนสงครามและออกไปเดินขบวน ทำให้ถูกขับออกจากกลุ่มสังคมนิยม ต่อมา อิตาลีเข้าร่วมสงคราม และมุสโสลินีก็ได้เข้าร่วมรบแต่ได้รับบาดเจ็บกลับมา
จากประสบการณ์ในสงครามและการผิดหวังจากสังคมนิยม ทำให้มุสโสลินีเชื่อว่าอิตาลีจำเป็นต้องมีการปฏิวัติครั้งใหญ่ เขาหวนกลับสู่วงการหนังสือพิมพ์และเผยแพร่ความคิดเห็นของตนอย่างกว้างขวาง โดยแสดงความเบื่อหน่ายต่อประชาธิปไตย มองว่าการเลือกตั้งเป็นสิ่งไร้สาระ และต้องการนำประเทศด้วยวิธีการที่แข็งกร้าวเฉกเช่นชาวโรมัน ด้วยแนวคิดนี้เอง เขาได้ก่อตั้งขบวนการขึ้นมาซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก และกลายเป็นขบวนการที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ นั่นคือ ขบวนการฟาชิสม์ (Fascism)
คำว่า ฟาชิสม์ หรือ พวกฟาชิสต์ มาจากคำว่า Fascio ซึ่งหมายถึงขวานโบราณของชาวโรมันที่มีด้ามจับเป็นกิ่งไม้พันรวมกันอย่างแน่นหนา อันเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ด้วยวาทศิลป์อันน่าทึ่ง มุสโสลินีได้ปลุกระดมผู้คนให้เข้าร่วมแนวคิดของตน เพื่อนำพาอิตาลีไปสู่ความยิ่งใหญ่เหมือนจักรวรรดิโรมันในอดีต ผู้คนจำนวนมากเข้าร่วม และเรียกมุสโสลินีว่า ดูเช (Duce) ซึ่งมาจากคำว่า Dux ในภาษาละตินที่แปลว่า ผู้นำ
ฃภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อิตาลีประสบปัญหาความบอบช้ำ แม้จะอยู่ในฝ่ายชนะสงคราม รัฐบาลของพระเจ้าวิตตอริโอ เอ็มมานูเอเลที่ 3 ก็อ่อนแอ ในที่สุด ในปี ค.ศ. 1922 มุสโสลินีได้สั่งให้กองทัพฟาชิสต์เดินขบวนเข้าสู่กรุงโรม (Marcia su Roma หรือ March on Rome) พระเจ้าวิตตอริโอทรงกลัวว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง จึงทรงกดดันให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออก และเชิญมุสโสลินีขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน นี่คือจุดเริ่มต้นของ 20 ปีแห่งฟาชิสต์
สิ่งแรกที่มุสโสลินีทำคือ เปลี่ยนรัฐสภาให้มีพรรคเดียวคือพรรคของตน และกวาดล้างพวกสังคมนิยมด้วยวิธีการที่รุนแรง ต่อมา เขาได้ประกาศตนว่าจะปกครองแบบเผด็จการ ในการสร้างความนิยมและภาพลักษณ์ เขาทุ่มเททำงานอย่างหนัก และมีการถ่ายวิดีโอการปฏิบัติงานของเขาเพื่อนำไปฉายเผยแพร่
มุสโสลินีมีเป้าหมายที่จะทำให้อิตาลีกลับมายิ่งใหญ่เหมือนอาณาจักรโรมัน โดยการขยายอาณาเขต และได้นำอิตาลีเข้าบุกเอธิโอเปีย ซึ่งประสบความสำเร็จในการยึดครอง แต่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก การกระทำของมุสโสลินีได้รับความสนใจจากผู้นำหลายประเทศ รวมถึง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งชื่นชมและนำแนวคิดหลายอย่างไปใช้ในเยอรมนี เช่น ท่าทักทายแบบนาซี
อย่างไรก็ตาม กองทัพอิตาลีภายใต้การนำของมุสโสลินีกลับอ่อนแอลงและประสบความพ่ายแพ้ในการรบหลายครั้ง ในที่สุด อิตาลีเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีเยอรมนีเป็นผู้นำ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรบุกเข้าอิตาลี ในปี ค.ศ. 1943 คนในพรรคของมุสโสลินีจึงตัดสินใจปลดเขาออกจากตำแหน่ง และส่งตัวแทนไปเซ็นสัญญาสงบศึก นับเป็นการสิ้นสุดของยุคฟาชิสต์อย่างเป็นทางการ
แต่เรื่องยังไม่จบลงแค่นั้น มุสโสลินีถูกจับกุม แต่ได้รับการช่วยเหลือจากเยอรมันและถูกนำไปตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดโดยมีฮิตเลอร์อยู่เบื้องหลัง ความวุ่นวายนี้ดำเนินไปประมาณ 2 ปี จนกระทั่งมุสโสลินีถูกกลุ่มต่อต้านฟาชิสต์จับตัวได้และถูกประหารชีวิตด้วยการยิง จากนั้นศพของเขาถูกนำไปแขวนห้อยหัวลงมากลางจัตุรัสในมิลาน ข่าวการเสียชีวิตของมุสโสลินีมีส่วนทำให้ฮิตเลอร์ตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด
สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มุสโสลินีได้กระทำไว้คือ การให้วาติกันเป็นรัฐอิสระ
ในยุคของมุสโสลินี กีฬาฟุตบอลได้รับความนิยมอย่างมากในอิตาลี จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นกีฬาประจำชาติ มีการก่อสร้างสนามใหม่ในหลายเมือง และลีกฟุตบอลสูงสุดของอิตาลีก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในยุคนี้ ที่สำคัญคือ ทีมฟุตบอลทีมชาติอิตาลีสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ 2 สมัย (1934 และ 1938) และเหรียญทองโอลิมปิกในปี 1936
กลุ่มฟาสซิสต์ได้เข้ามาแทรกแซงและมีอิทธิพลต่อฟุตบอลในเชิงสัญลักษณ์ เช่น นักเตะต้องทำท่าเคารพแบบฟาสซิสต์ก่อนเริ่มการแข่งขัน ผู้บริหารระดับสูงของพรรคฟาสซิสต์เข้ามาควบคุมสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี และมีอิทธิพลต่อการย้ายทีม บางสโมสรได้เปลี่ยนชื่อเพื่อให้แสดงความเป็นอิตาลีตามแนวทางของฟาสซิสต์ รัฐบาลฟาสซิสต์ยังสนับสนุนการดึงตัวนักเตะต่างชาติฝีเท้าดีให้โอนสัญชาติมาเล่นให้กับทีมชาติอิตาลี ซึ่งเรียกว่า Oriundi ความสำเร็จของทีมชาติอิตาลีในยุคนั้นถูกนำมาใช้เพื่อปลุกกระแสชาตินิยม
การขึ้นสู่อำนาจของมุสโสลินีไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่มาจากการวางแผนและใช้กองกำลังอาสาพลเรือน (เชิ้ตดำ) ในการยาตราสู่กรุงโรม เพื่อกดดันให้รัฐบาลโอนถ่ายอำนาจ แม้ว่าพรรคของเขาจะเคยพ่ายแพ้การเลือกตั้งมาก่อน แต่การสร้างความหวาดกลัวและการใช้ความรุนแรงของกลุ่มเชิ้ตดำ รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากคนชั้นนำและกองทัพ ทำให้เขาสามารถก้าวขึ้นสู่อำนาจได้
นักประวัติศาสตร์บางส่วนมองว่า การยาตราสู่กรุงโรมเป็นการ "บลั๊ฟ" ครั้งใหญ่ ที่มุสโสลินีได้ประโยชน์จากการที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไม่กล้าเสี่ยงใช้กำลังปราบปราม เรื่องราวที่พวกฟาสซิสต์สร้างขึ้นภายหลังว่าการยาตราสู่กรุงโรมเป็นการเสียสละอันยิ่งใหญ่ เป็นการกระทำตามเจตจำนงของเหล่าเชิ้ตดำ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นศักราชของพวกฟาสซิสต์
การขึ้นสู่อำนาจของมุสโสลินีและฮิตเลอร์มีบทเรียนสำคัญคือ การสร้างคู่ตรงข้ามทางการเมือง (ในสมัยนั้นคือภัยคอมมิวนิสต์) และสร้างความหวาดกลัว เพื่อให้ฝ่ายอนุรักษนิยมหันมาสนับสนุน โดยหวังว่าอำนาจเบ็ดเสร็จจะสามารถควบคุมความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ดีกว่าประชาธิปไตย ทั้งสองคนยังแสดงตนเป็น "คนกลาง" ในยามวิกฤตที่พวกเขาสร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว การฝากความหวังไว้กับเผด็จการเบ็ดเสร็จกลับนำพาประเทศไปสู่ยุคมืด
ในปัจจุบัน ฟาชิสต์และมุสโสลินีเป็นสิ่งที่คนอิตาลีส่วนใหญ่ไม่อยากพูดถึง กระนั้นก็ตาม ที่บ้านเกิดของเขาในเมืองเปรดัปปิโย ยังมีพิพิธภัณฑ์ คนอิตาลีมองว่าการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ และการฝังกลบอดีตไม่ได้ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ เมื่อนึกถึงมุสโสลินี คนอิตาลีในปัจจุบันอาจกล่าวติดตลกว่า “อ้ะ อย่างน้อยรถไฟตอนนั้นก็ตรงเวลา”
เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) ผู้นำฟาสซิสต์ของอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้สมัครชิงตำแหน่งอีกครั้งในศตวรรษที่ 21 อาจดูเหมือนเป็นตัวละครที่อยู่คนละยุค คนละระบบ และคนละภูมิประเทศทางการเมือง แต่เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะพบว่าทั้งสองมีลักษณะร่วมหลายประการ ทั้งในด้านบุคลิกภาพ แนวคิด และกลยุทธ์ทางการเมืองที่ใช้ในการดึงดูดผู้สนับสนุนและครองอำนาจ
ทั้งมุสโสลินีและทรัมป์ต่างใช้แนวทาง “ประชานิยมขวาจัด” ในการชูตัวเองเป็นผู้นำที่แท้จริงของ “ประชาชน” และกล่าวหาว่าระบบการเมืองแบบเดิมนั้นเน่าเฟะหรือเต็มไปด้วยนักการเมืองขี้โกง
มุสโสลินี ใช้โวหารต่อต้านชนชั้นนำและระบบรัฐสภาแบบเดิม โดยเสนอระบอบฟาสซิสต์ที่เขาอ้างว่าจะนำความมั่นคงและความยิ่งใหญ่กลับคืนมาให้อิตาลี
ทรัมป์ ใช้คำว่า “Drain the swamp” เพื่อบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของระบบการเมืองอเมริกัน และกล่าวโทษสื่อ, พรรคเดโมแครต และแม้แต่พรรครีพับลิกันที่ไม่ภักดีว่าเป็น “ศัตรูของประชาชน”
ทั้งสองสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองในฐานะ “ผู้กอบกู้ชาติ” ที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้ระบบเดิมหรือกฎเกณฑ์ใดๆ
มุสโสลินี ปรากฏตัวในสื่ออย่างแข็งกร้าว มีภาพลักษณ์เป็นชายชาติทหาร เด็ดขาด และไร้ความกลัว
ทรัมป์ วางตัวเป็น “outsider” ที่กล้าพูดในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า พูดตรงไม่อ้อมค้อม และอ้างว่าเพียงตนเท่านั้นที่จะแก้ไขประเทศได้ (“I alone can fix it”)
มุสโสลินีและทรัมป์ต่างใช้ “ความยิ่งใหญ่ของชาติ” เป็นแกนกลางของแคมเปญการเมือง
มุสโสลินี ต้องการฟื้นฟู “จักรวรรดิโรมัน” และกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของอิตาลีในอดีตเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ประชาชน
ทรัมป์ ใช้สโลแกน “Make America Great Again” และเน้นว่าชาติอเมริกันกำลังถูกทำลายจากผู้อพยพ, จีน, และโลกาภิวัตน์
ทั้งคู่มองว่าสื่อมวลชนเป็น “ศัตรู” และใช้การโจมตีสื่อเพื่อควบคุมการเล่าเรื่อง
มุสโสลินี ควบคุมสื่ออย่างเข้มงวดในอิตาลี และใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างภาพของความสำเร็จ
ทรัมป์ เรียกสื่อที่วิจารณ์เขาว่า “Fake News” และพยายามลดความน่าเชื่อถือของนักข่าวที่ตั้งคำถามกับอำนาจของเขา
แม้จะอยู่ในบริบทต่างกัน แต่มุสโสลินีและทรัมป์ต่างก็มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
มุสโสลินี มี “Blackshirts” ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ใช้ความรุนแรงข่มขู่ฝ่ายซ้ายและฝ่ายค้าน
ทรัมป์ ถูกวิจารณ์อย่างหนักกรณี เหตุจลาจลรัฐสภา 6 มกราคม 2021 ซึ่งผู้สนับสนุนเขาบุกอาคารรัฐสภาโดยมีเป้าหมายขัดขวางการรับรองผลเลือกตั้ง
ผู้นำทั้งสองปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ทางการเมืองอย่างเปิดเผย
มุสโสลินี หลังยึดอำนาจก็ยกเลิกการเลือกตั้งและตั้งตนเป็นผู้นำสูงสุด
ทรัมป์ หลังพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2020 ปฏิเสธที่จะยอมรับผลและอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้ง แม้ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ
เบนีโต มุสโสลินีเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์อิตาลี การก้าวขึ้นสู่อำนาจและการปกครองแบบเผด็จการในช่วง ‘ยี่สิบปีแห่งฟาชิสต์’ ได้ทิ้งร่องรอยไว้มากมาย ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม การนำพาอิตาลีเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และความพ่ายแพ้ในสงครามได้นำมาซึ่งความหายนะและความเกลียดชังต่อตัวเขา แม้ว่าจะมีบางสิ่งที่เขาได้กระทำไว้ เช่น การให้วาติกันเป็นรัฐอิสระ แต่ภาพจำสุดท้ายของเขาก็คือการถูกประหารและนำศพไปแขวนประจาน ในปัจจุบัน ฟาชิสต์และมุสโสลินียังคงเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนในอิตาลี แต่การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ในยุคนั้นยังคงมีความสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีต
อ้างอิง
SilpaMag / TCIJ / TheCloud / ThaiPublica /