SHORT CUT
ย้อนปมเหตุสงครามโลกครั้งที่ 1-2 สงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศมหาอำนาจ หลังการเจรจาของสหรัฐฯ-ยูเครนล่ม 'ทรัมป์' จวก 'เซเลนสกี' ไม่เคารพอเมริกา-เสี่ยงเดิมพันสงครามโลกครั้งที่ 3
สงครามโลก สงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศมหาอำนาจ ถือเป็นความขัดแย้งระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับมหาอำนาจโลกส่วนใหญ่หรือทั้งหมด ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 สองครั้ง คือ สงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945)
ชนวนของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดจากการลอบปลงพระชนม์อาร์คดุยค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของบัลลังก์จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1914 โดยกัฟรีโล ปรินซีป ชาวเซิร์บบอสเนีย ซึ่งเป็นสมาชิกของแก๊งมือมืด และการแก้แค้นของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีต่อราชอาณาจักรเซอร์เบีย ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ปะทุขึ้นในทวีปยุโรป
ภายในหนึ่งเดือน ทวีปยุโรปส่วนมากก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่ความขัดแย้งที่มีมาตั้งแต่การรวมชาติเยอรมนี ตั้งแต่ ค.ศ. 1871 นั้นทำให้ยุโรปต้องอยู่ในสมดุลแห่งอำนาจซึ่งยากแก่การรักษา การแข่งขันทางทหาร อุตสาหกรรมและการแย่งชิงดินแดนก็ทำให้วิกฤตสุกงอมจนกระทั่งปะทุออกมาเป็นสงคราม
ภายหลังสงครามฝรั่งเศส-รัสเซีย ฝ่ายรัสเซียมีผู้นำที่เข้มแข็งอย่างบิสมาร์ก เป็นผู้วางแผนการรบอย่างชาญฉลาด เอาชนะฝรั่งเศสได้ทำให้เยอรมันสามารถรวมตัวกันและสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน เป็นมหาอำนาจที่สำคัญในยุโรป ฝรั่งเศสซึ่งเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ต้องยอมเสียแคว้นอัลซาซ-ลอแรนให้แก่เยอรมนี และเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ เป็นผลให้อิตาลีรวมชาติได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยม ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวสลาฟ
เพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบที่จะนำมาป้อนโรงงานอุตสาหกรรม การแข่งขันเป็นแบบการค้าเสรี เมื่อมีการแข่งขันสูงขึ้น จึงเริ่มใช้กำลังทางทหารเข้ายึดครองดินแดนที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและตั้งกำแพงภาษีให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันมิให้สินค้าจากประเทศที่เป็นคู่แข่งมาตีตลาดในประเทศบริวารของตน เป็นเครื่องมือวัดความยิ่งใหญ่ของประเทศ
ฝ่ายหนึ่งประกอบด้วยเยอรมนี รัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ได้ทำสนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคี ภายหลังรัสเซียได้ถอนตัวไปและอิตาลีเข้ามา กลุ่มนี้จึงประกอบด้วยเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี
อีกฝ่ายหนึ่งฝรั่งเศสกับรัสเซีย ได้ทำสนธิสัญญาพันธไมตรีฝรั่งเศส-รัสเซีย ต่อมาอังกฤษได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรจึงเกิดเป็นกลุ่มประเทศความตกลงไตรภาคี
มหาอำนาจทั้ง 2 กลุ่ม พยายามที่จะโน้มน้าวให้ประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของตน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยินยอมกันแข่งกันสะสมกำลังอาวุธ เมื่อเกิดข้อขัดแย้งที่รุนแรง จึงหาทางออกด้วยการทำสงคราม
คาบสมุทรบอลข่านอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ ประกอบด้วยชุมชนที่มีความแตกต่างกันทางด้านภาษาและวัฒนธรรม ส่วนใหญ่เป็นชาวสลาฟ กรีก เติร์ก เมื่อชนเผ่าสลาฟภายใต้การนำของแคว้นเซอร์เบีย ได้เอกราชและแยกตัวออกจากจักรวรรดิออตโตมันเติร์ก ต่อมาเซอร์เบีย บัลแกเรีย และกรีซได้รวมตัวกัน ทำสงครามกับตุรกีและสามารถยึดครองดินแดนของตุรกีในยุโรปได้ แต่หลังจากชนะสงครามก็เกิดความขัดแย้งกันเอง เซอร์เบียจึงกลายเป็นแคว้นที่มีอิทธิพลมากจนเป็นที่เกรงกลัวของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
ชนวนของสงครามเกิดขึ้นเมื่ออาร์ชดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดินานด์รัชทายาทของออสเตรีย-ฮังการี ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยฝีมือของกัฟริโล ปรินซิปชาวบอสเนีย ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย โดยมีรัสเซียเข้ามาช่วยเซอร์เบีย เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษเข้าร่วมมือกับรัสเซีย
ในสงครามครั้งนี้ เรียกฝ่ายที่อยู่ข้างเซอร์เบีย รัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร และเรียกฝ่ายที่อยู่ข้างออสเตรีย-ฮังการีและเยอรมนีว่า ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผลจากความขัดแย้งของประชาชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นสะสมมาก่อนเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 อันเนื่องมาจากความตกต่ำ ทางเศรษฐกิจเงื่อนไขหรือข้อบังคับบทลงโทษตามสนธิสัญญาสันติภาพ และความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติ
ข้อบกพร่องของสนธิสัญญาสันติภาพ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจากประเทศชนะสงคราม และประเทศที่แพ้สงครามต่างก็ไม่พอใจในข้อตกลงเพราะสูญเสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่เยอรมันไม่พอใจในสภาพที่ตนต้องถูกผูกมัดด้วยสัญญา
ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซาย ทำให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำเยอรมนีหันไปใช้ลัทธินาซี เพื่อสร้างประเทศให้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับ เบนีโต มุสโสลีนี (BenitoMussolini)ผู้นำอิตาลีหันไปใช้ลัทธิฟาสซิสต์ ส่วนญี่ปุ่นต้องการสร้างวงศ์ไพบูลย์ร่วมกันแห่งมหาเอเชียบูรพา เพื่อเป็นผู้นำในเอเชีย นอกจากนี้ยังเกิดทฤษฎีชาตินิยม ในเยอรมนีว่าด้วยความเหนือกว่าในทางเผ่าพันธุ์ ที่ทำให้ฮิตเลอร์ใช้นโยบายกวาดล้างชาวยิวในดินแดนยึดครองต่าง ๆ
การสะสมอาวุธเพื่อประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศมากขึ้น และเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
การใช้นโยบายออมชอมของ อังกฤษเมื่อเยอรมนีละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย โดยการเพิ่ม กำลังทหารและการ รุกรานดินแดนต่าง ๆ
ความขัดแย้งระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับ ระบอบเผด็จการ ปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้หลายประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการเพื่อแก้ปัญหาภายใน เช่น เยอรมนีและ อิตาลี นำไปสู่การแบ่งกลุ่มประเทศ
เนื่องจากไม่มีกองทัพขององค์การ ทำให้ขาดอำนาจในการปฏิบัติการ และการที่อเมริกาไม่ได้เป็นสมาชิกจึงทำให้ องค์การสันนิบาตชาติเป็นเครื่องมือของประเทศที่ชนะใช้ลงโทษประเทศที่ แพ้สงคราม
ชนวนที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
การหารือระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีแห่งยูเครน จบลงแบบ "หายนะ" โดยไม่มีการลงนามข้อตกลงแร่ธาตุ หลังผู้นำทั้งสองชาติเกิดปะทะคารมกันอย่างรุนแรงต่อหน้าสื่อมวลชน โดย เซเลนสกี ตั้งคำถามเรื่องที่ ทรัมป์ เอนเอียงเข้าข้างรัสเซีย ขณะที่ ทรัมป์ ก็ชี้ว่าผู้นำยูเครน "ไม่เคารพ" อเมริกาและกำลังเดิมพันด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3 พร้อมยื่นคำขาดหากยูเครนไม่รับข้อตกลง สหรัฐฯ ก็จะไม่เอาด้วยอีกต่อไป
การไปเยือนสหรัฐฯ ของผู้นำยูเครนในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเกลี้ยกล่อมสหรัฐฯ ไม่ให้หันไปเข้าข้างประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นคนออกคำสั่งส่งทหารรุกรานยูเครนเมื่อ 3 ปีก่อน
ที่มา : สถาบันพระปกเกล้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง