ช่วงหนึ่งในงานสัมมนาโครงการเสริมศักยภาพ สส. ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 14 ธ .ค. พ.ศ.2567 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้อธิบายรายละเอียดเรื่องสนธิสัญญา MOU44 และเกาะกูดที่ถูกนำมาโจมตีรัฐบาล
ทักษิณอธิบายว่า ปี 2544 สมัยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี บันทึกข้อตกลงดังกล่าวคือ เราจะตกลงและเราจะคุยกัน ในข้อที่เรายังไม่ได้ตกลงกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เราตกลงกันแล้ว แต่เป็นกรอบที่เราจะพูดคุยในเรื่องที่เรายังตกลงกันไม่ได้ จึงเกิดสนธิสัญญา MOU44 ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเส้นเขตแดนทางทะเลที่ไม่ตรงกันระหว่างไทยกับกัมพูชา
ส่วนเรื่องเกาะกูด มันเป็นของไทยมานานแล้ว และอยู่ในสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ในสมัยที่ยังยึดครองประเทศกัมพูชา โดยระบุว่าเกาะกูดเป็นของไทย เกาะกงเป็นของกัมพูชา แต่วิธีลากเส้นของกัมพูชาไม่ถูก ผิดหลักกฏหมายสากลอยู่แล้ว แต่ของเรามั่นใจว่า วิธีลากเส้นของเราถูกกว่า แต่ผลสุดท้าย เราก็ต้องมาพูดคุยกันในเรื่องที่เราไม่ได้ตกลงกัน แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้คุยกัน เพียงแค่บอกว่าจะคุย แต่ก็เกิดการโวยวายกันใหญ่
นายทักษิณระบุว่าปัญหาคือ ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่อยู่ในพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งอีกประมาณ 20 ปีจะไม่สามารถใช้ได้ เพราะคนกำลังเรียกหาพลังงานสีเขียว เลิกใช้พลังงานที่เกิดจากฟอสซิล เพราะฉะนั้นอีก 20 ปี เราจะทิ้งทรัพย์สินตรงนี้ประมาณ 4 ล้านล้านบาท ต้องตกลงกัน 2 อย่างคือ 1.ผลประโยชน์ทางทะเล 2.เส้นเขตแดน แต่ไทยก็มีปัญหาเส้นเขตแดนกับหลายชาติ มาเลเซีย ลาว รวมถึงว้าแดง ที่ถูกใช้เป็แนวกันชน
ช่วงหนึ่งทักษิณพูดผิดเป็น ม. 44 ก่อนบอกว่า เพราะ ม.44 โดนมาเยอะ โดนมาหลายดอก เลยยังพูดมาตรา 44 อยู่ แต่จะบอกว่าเรื่องของ MOU 44 เป็นเรื่องที่เราจะพูดคุยกัน ในเรื่องที่เรายังไม่ตกลงกัน เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปโวยวาย
“ไม่มีใครเขาไปขายชาติหรอก ถ้าขายคนเฮงซวยพอขายได้ แต่ไม่มีใครเอา อยู่แล้ว กลัวเป็นภาระเขา” นายทักษิณกล่าว
ส่วนเรื่องของ OCA ปัจจุบันยังไม่มีการตกลงใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่เคยบอกว่า จะเป็นของใคร เพราะทุกอย่างมันชัดอยู่แล้ว เรื่องบนบกมันจบไปนานแล้ว เหลือแต่เรื่องเส้นทางทะเล ที่จะต้องแบ่งกันว่า ผลประโยชน์ตรงนี้ควรจะเป็นของใคร แต่สิ่งที่เถียงกันแทบตาย คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือใครรู้หรือไม่คือ บริษัทที่ได้รับสัมปทานเดิม เพราะสัญญายังคงอยู่ ซึ่งประเทศจะได้ประโยนช์ ได้น้ำมัน ได้นำก๊าซธรรมชาติมาใช้ หากการขนส่งใกล้หน่อยก็จะมีต้นทุนที่ราคาถูก
วันนี้ต้องมีคนอธิบาย กระทรวงการต่างประเทศต้องอธิบายให้ชัดเจน จริงๆ แล้วประเทศไทยเรา ต้องมีคณะกรรมการมาจากทุกฝ่าย ทั้งของกระทรวงต่างประเทศ และฝ่ายความมั่นคง แต่บางทีคนพูดอะไรง่ายๆ หาว่าตนมีความสัมพันธ์กับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน
ทักษิณจึงเล่าความสัมพันธ์กับสมเด็จฯ ฮุนเซน โดยระบุว่า ใครจำได้เหตุการณ์ตอนที่เผาสถานทูตไทย ในประเทศกัมพูชา วันนั้นตนก็เป็นเพื่อนกับสมเด็จฯ ฮุนเซน ซึ่งตนก็ต่อสายโทรศัพท์ไปหา แล้วบอกว่าตนไม่ยอม ที่มาเผาสถานทูตไทย คุณจะต้องรับผิดชอบ แล้วปัญหาก็คือ มีคนไทยอยู่ที่นั่น คุณจะเอาอย่างไร ดูแลได้หรือไม่ หากดูแลไม่ได้ พรุ่งนี้ตนจะส่งเครื่องบินไปรับ ซึ่งเวลาพูดคุยกัน ก็คุยรุนแรงเช่นนี้ แต่เราเข้าใจกัน
“การเป็นเพื่อน ดีกว่าการเป็นศัตรู แต่งานของประเทศต้องมาก่อน ไม่ใช่เป็นเพื่อนแล้วมาบอกว่ายกประเทศให้เพื่อน นั่นมันควายแล้ว” ทักษิณกล่าว
ขณะนั้นประเทศกัมพูชายังไม่มีเงินเท่าไหร่ แต่ต้องมาใช้หนี้ที่เผาสถานทูตไทย หากจำไม่ผิดประมาณ 3 ล้านเหรียญ และวันนั้นตนก็ส่งเครื่องบิน ส่งหน่วย คอมมานโดไปเอาคนไทยกลับมา ไม่เห็นจะโกรธกันเลย ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันคงโกรธกันแล้ว ทำแบบนี้ ซึ่งจริง ๆ ตนยังอยากทำแบบนี้กับอีกหลายเรื่อง พอดีเกรงใจนายกฯ แพทองธาร กลัวโดนลูกหลง