svasdssvasds

โอลิมปิกยุคโบราณและโอลิมปิกยุคใหม่ แตกต่างกันอย่างไร ?

โอลิมปิกยุคโบราณและโอลิมปิกยุคใหม่ แตกต่างกันอย่างไร ?

‘โอลิมปิกเกมส์’ จากเพื่อบูชาเทพ สู่กีฬาเชื่อมคนทั้งโลก ยุคโบราณและโอลิมปิกยุคใหม่ แตกต่างกันอย่างไร มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

SHORT CUT

  • โอลิมปิกโบราณ มีจุดกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยจัดขึ้นที่เมืองโอลิมเปีย เป็นงานเฉลิมฉลองให้กับ ซุสแห่งโอลิมปัส (Zeus) เทพสูงสุดตามศาสนากรีกโบราณ แต่ต้องหยุดไปเพราะโรมันสั่งแบน 
  • กลับมาจัดใหม่ในปี 1892 จากการพยายามฟื้นฟูประเพณีของชาวกรีกโบราณ ของ ‘ปิแอร์ เดร์ กูเบอร์แตง’ (Baron Pierre de Coubertin)’ จนกลายเป็นโอลิมปิกยุคใหม่ที่เรารู้จัก
  • เปิด 5 ข้อแตกต่างระหว่าง โอลิมปิกโบราณ และโอลิมปิกสมัยใหม่ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ?

‘โอลิมปิกเกมส์’ จากเพื่อบูชาเทพ สู่กีฬาเชื่อมคนทั้งโลก ยุคโบราณและโอลิมปิกยุคใหม่ แตกต่างกันอย่างไร มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กำลังจัดอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสตอนนี้ ถือเป็นการแข่งขันสุดยิ่งใหญ่ที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์มากกว่า2700 ปี ทำให้โอลิมปิกเกมส์ในปัจจุบัน มีความแตกต่างกับโอลิมปิกเกมส์ ในอดีตอยู่มาก

โอลิมปิกยุคโบราณและโอลิมปิกยุคใหม่ แตกต่างกันอย่างไร ?

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า โอลิมปิกเกมส์ มี 2 ยุค ได้แก่ ‘โอลิมปิกโบราณ (Ancient Olympic Games) ’ และ ‘โอลิมปิกยุคใหม่ (Modern Olympic Games) ’ ซึ่ง โอลิมปิกโบราณ มีจุดกำเนิดมาจากประเทศกรีซ ซึ่งนักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่าเป็นช่วงเวลาประมาณ 776 ก่อนคริสตกาล โดยจัดขึ้นเมืองโอลิมเปีย แต่ตอนนั้นไม่ได้จัดขึ้นเพื่อเน้นการแข่งกีฬา แต่เป็นงานเฉลิมฉลองให้กับ ซุสแห่งโอลิมปัส (Zeus) เทพสูงสุดตามศาสนากรีกโบราณ

จึงทำให้การแข่งขันส่วนใหญ่ เป็นกีฬาไม่กี่แบบที่เน้นความแข็งแกร่งของร่างกาย โดยจัดการแข่งขันทุก 4 ปี ระหว่างวันที่ 6 สิงหาคม -19 กันยายน เป็นแบบนี้เรื่อยๆ มา นานกว่า 12,000 ปี จนกระทั่งอำนาจของอาณาจักรโรมันเข้ามามีอิทธิพลต่อชาวกรีกใน ซึ่งจักรพรรดิโรมันเป็นคริสเตียน จึงสั่งให้หยุดการแข่งขันนอกรีตทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ไม่มีการบันทึกไว้แน่ชัดว่าโอลิมปิกโบราณถูกยกเลิกปีไหน แต่นักประวัติศาสตร์ขอยึดไว้ที่ปี ค.ศ 393 เพราะตรงกับรัชสมัยของ จักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 1 (Theodosius I) เพราะมีหลักฐานว่าทรงให้ยกเลิกประเพณีนอกรีตในโรมัน เพราะต้องการให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาเดียวในกรุงโรม และนับตั้งแต่นั้น โอลิมปิกก็ไม่ได้จัดอีกเลย กว่า 15 ศตวรรษ

แต่โอลิมปิกก็มีเค้าลางได้กลับมาจัดใหม่ในปี 1892 จากการพยายามฟื้นฟูประเพณีของชาวกรีกโบราณ ของ ‘ปิแอร์ เดร์ กูเบอร์แตง’ (Baron Pierre de Coubertin)’ ขุนนางฝรั่งเศส โดยตัวของ ปิแอร์ มองเห็นปรัชญาและพลังแห่งสันติภาพที่ฝังลึกอยู่กระบวนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโบราณ จึงต้องการสื่อสารสู่สังคมโลก และใช้กีฬาเชื่อมทั้งโลกไว้ด้วยกัน

‘ปิแอร์ เดร์ กูเบอร์แตง’ (Baron Pierre de Coubertin)’  บิดาแห่งโอลิมปิกยุคใหม่

ในปี 1892 เขาได้พูดคุยกับคนใหญ่คนโตมากมาย และปี 1893 จากการประชุมระหว่างตัวแทนจาก 15 ประเทศ ทุกฝ่ายก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะปลุกจิตวิญญาณของโอลิมปิกขึ้นมาใหม่ โดยการแข่งขันครั้งแรกให้เริ่มที่ กรุงเอเธนส์ ปี ค.ศ. 1896 เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกำเนิดกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโบราณ และจึงค่อยเวียนไปจัดที่ประเทศอื่นในทุกๆ 4 ปี ซึ่งค่อยๆ พัฒนา เพิ่มกฎและเพิ่มกีฬาเขาไปมากมาย จนกลายเป็น โอลิมปิกสมัยใหม่ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน และตัวของปิแอร์ ก็กลายเป็นบิดาแห่งโอลิมปิกสมัยใหม่

ข้อแตกต่างโอลิมปิกโบราณ และโอลิมปิกสมัยใหม่ 

กีฬาโอลิมปิกยุคแรก PHOTO Mark Cartwright

ประเภทการแข่งขันในโอลิมปิก

ยุคโบราณ เริ่มต้นโดยมีแค่การแข่งวิ่งเป็นกีฬาชนิดเดียว ส่วนกีฬาอื่นๆ ถูกเพิ่มภายหลัง เช่น แข่งรถม้า มวยปล้ำ ชกมวย เป่าแตร ปัญจกรีฑา ฯลฯ ที่ล้วนเป็นกีฬาแสดงความแข็งแรงของผู้ชายโดยเฉพาะ แต่ก็มีบางปีที่การแข่งขันหยุดไปเนื่องจากเกิดสงคราม และภัยธรรมชาติ

ยุคใหม่ มีกีฬามากกว่า 40 ประเภท ตั้งแต่ วิ่ง ว่ายน้ำ สเก็ตบอร์ด ฟุตบอล และอีกมากมายและนอกจากกีฬาที่ใช้แรงเป็นหลักแล้ว ได้มีการเรียกร้องให้นำกีฬาที่ใช้การวางแผน อย่าง ‘หมากรุก’ หรือ ‘วิดีโอเกม’ เข้าไปด้วย

นักกีฬาโอลิมปิก ยุคแรก PHOTO Dan Diffendale

นักกีฬาโอลิมปิก

ยุคโบราณ มีแต่ผู้ชายชาวกรีกสุขภาพดีเท่านั้นที่เข้าร่วมการแข่งขันได้ และต้อง ‘แก้ผ้าแข่ง’ ซึ่งยัดประวัติศาสตร์ยังคงถกเถียงกันถึงเหตุผลของเรื่องนี้ บ้างก็เชื่อว่าเพื่อโชว์ความงดงามของร่างกาย ตามค่านิยมของชาวกรีกโบราณที่ไม่รังเกียจการแก้ผ้า บ้างก็เชื่อว่าเพื่อเป็นเกียรติแก่ซุส หรือบ้างก็เชื่อว่า แค่ทำให้เคลื่อนไหวสะดวก ซึ่งบางครั้งมีการอนุญาตให้ใส่แค่กางเกงได้ แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด

อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าแข่งขันชายบางคนอาจไม่ได้ข้าแข่งขันโอลิมปิก หากพวกเขามาจากอาณาจักรคู่สงคราม เช่น “ช่วงสงครามเพโลพอนนีเซียน (Peloponnesian War) 431-402 ก่อนคริสตกาล” ที่ไม่อนุญาตให้ ชาวเมืองสปาร์ต้าเข้าแข่งขัน เนื่องจากเป็นศัตรูกับชาว เอเธนส์

ส่วนผู้หญิงในโอลิมปิกยุคโบราณนั้น ถือว่ามีบทบาทน้อยมากๆ และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาทุกประเภท แต่พวกเธอสามารถเป็นผู้ชนะร่วมกับนักกีฬาได้ เช่นเป็นเจ้าของคอกม้าตัวที่นักกีฬาใช้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันถึงบทบาทของผู้หญิงในโอลิมปิกโบราณเท่าไหร่นัก

ยุคใหม่ นักกีฬาจากทั่วโลกสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ โดยพวกเขาจะสวมชุดประจำชาติ เพื่อโชว์ความภาคภูมิใจของประเทศนั้นๆ แต่ใช่ชวงยุคแรกของโอลิมปิกสมัยใหม่ ผู้หญิงก็ยังถูกกีดกันเหมือนเดิม จนกระทั่ง การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 1900 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จึงอนุญาตให้ผู้หญิงเข้าร่วมได้เป็นครั้งแรก และถือเป็นเรื่องปกติจนถึงปัจจุบัน

รางวัลผู้ชนะโอลิมปิก

รางวัลผู้ชนะโอลิมปิก

ยุคโบราณ ผู้ชนะมีเพียงหนึ่งเดียวต่อประเภทการแข่งขัน และไม่มีรางวัลสำหรับอันดับที่ 2 หรือ 3 โดยชายผู้ชนะจะได้รับพวงหรีดมะกอก ริบบิ้น และกิ่งปาล์มจากภูเขาโอลิมปัส บ้านของเทพซุสเป็นรางวัล และอาจได้รับของมีค่าจำนวนหนึ่งเมื่อกลับบ้านเกิด

หากเทียบกับยุคนี้อาจดูเรียบง่าย แต่ความเรียบง่ายนั้นเกิดจากความตั้งใจเพื่อย้ำว่าชัยชนะที่แท้จริงมาจากความสำเร็จของนักกีฬาล้วนๆ และชายใดที่ได้สวมพวงหรีดนั้น จะได้รับการและปฏิบัติราวกับเป็นตัวแทนของทวยเทพ ไม่ว่าจะไปเยือนเมืองไหน

ยุคใหม่ ทุกการแข่งขัน มีผู้ชนะ 3 ระดับ ซึ่งจะได้รับ เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ตามลำดับ แต่ละปีมีการออกแบบเหรียญแตกต่างกัน ซึ่งผู้ชนะในแต่ละเหรียญจะได้เงินรางวัลตามอันดับที่ได้ และเมื่อกลับถึงประเทศบ้านเกิดก็มีการต้อนรับราวกับฮีโร่

ผู้ชมโอลิมปิก caramela1977

ผู้ชมโอลิมปิก 

ยุคโบราณ ชายทั่วทั้งกรีซสามารถมาดูการแข่งขันได้ที่สนาม ส่วนผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เขามาชม เพราะหน้าที่หลักของพวกเธอในวันนั้น คือแยกไปทำพิธีต่างหากที่วิหาร ‘เฮรา (Hera) ’ ชายาของซุส ส่วนผู้หญิงที่ฝ่าฝืน แอบเข้ามาดูโอลิมปิก จะถูกลงโทษถึงชีวิต

ทั้งนี้ แหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์บางแห่ง ระบุว่าอาจอนุญาตให้ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน หรือเป็นสาวพรหมจรรย์เข้ามาชมได้ เพราะเป็นเหมือนตัวช่วยให้บุรุษที่มาชมโอลิมปิกได้เลือกคู่ครองได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน และประเด็นเรื่องให้ผู้หญิงเข้าชมได้หรือไม่ก็ยังคลุมเครือ

ยุคใหม่ ทุกคนสามารถเข้าชมได้ และมีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อมากมาย เพราะจุดประสงค์ปัจจุบันของโอลิมปิก ไม่ใช่การบูชาทวยเทพ หรือความแข็งแกร่งของผู้ชายอีกแล้ว แต่คือการแข่งขันที่ส่งเสริมมิตรภาพของทุกเพศ ทุกวัยทั่วโลก

สัญลักษณ์ ไฟโอลิมปิก ภาพ REUTES

สัญลักษณ์ (*หัวข้อย่อย)

ยุคโบราณ ไฟมีความสำคัญต่อชาวกรีกโบราณอย่างมาก เพราะเชื่อกันว่า 'เทพโพรมีธีอุส (Prometheus)' ขโมยมาจากซุสเพื่อมานำมาให้มนุษย์  จึงมีการจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ไว้ในวิหารหลายแห่งตลอดเวลาทั่วกรีซ ตั้งแต่ต้นจนจบ การแข่งขันโอลิมปิก (ประมาณ 2 สัปดาห์) 

ยุคใหม่ ก่อนการแข่งขันเริ่ม คบเพลิงจะถูกจุดที่โอลิมเปีย กรีซ และถูกถือไปยังประเทศเจ้าภาพในปีนั้นโดยนักกีฬา ถือเป็นการเชื่อมโยงประเพณีโบราณและประเพณีสมัยใหม่เข้าด้วยกันเพื่อเป็นเกียรติแก่ต้นกำเนิดของโอลิมปิกเกมส์  เริ่มวิ่งคบเพลิงครั้งแรกในปี 1936 ที่กรุงเบอร์ลิน ครั้งเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ 

ที่มา : สสส / Britannica / The Collector

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related