SHORT CUT
ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย หรือกับดักการเมือง? กฎหมายใหม่เปิดประตูสู่ กาสิโนถูกกฎหมาย ด้วยเม็ดเงินลงทุนหมื่นล้านโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เผยแพร่ ร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร ฉบับแรกอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยแสดงท่าทีชัดเจนในการผลักดันกฎหมายเพื่อเปิดทางให้อุตสาหกรรมคาสิโนถูกกฎหมายดำเนินการได้ในประเทศ
ร่างกฎหมายฉบับยาว 22 หน้าแห่งนี้ วางหลักเกณฑ์เบื้องต้นไว้อย่างเข้มข้น ทั้งในด้านคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาต ซึ่งต้องเป็นบริษัทเอกชนที่มีทุนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท (ประมาณ 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) รวมถึงการกำหนดโครงสร้างของหน่วยงานกำกับดูแล และข้อจำกัดเชิงปริมาณ เช่น สัดส่วนพื้นที่คาสิโนไม่เกิน 10% ของพื้นที่สถานบันเทิงทั้งหมด
หนึ่งในผลลัพธ์เชิงบวกที่เห็นได้จากการหารือคือ การกำหนดอายุใบอนุญาตคาสิโนเริ่มต้นที่ 30 ปี และสามารถต่ออายุได้ครั้งละ 10 ปี ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับแนวปฏิบัติในระดับสากล และช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนรายใหญ่เข้ามามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้กระทรวงการคลังได้เสนอให้ขยายสัดส่วนพื้นที่คาสิโนจาก 5% เป็น 10% ของพื้นที่สถานบันเทิงครบวงจรทั้งหมด แต่ปัญหาสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบคือ นิยามของ “พื้นที่คาสิโน” และ “พื้นที่รวม” ยังไม่มีความชัดเจนในร่างกฎหมายปัจจุบัน ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านการตีความในอนาคต
Scott Feeney ผู้อำนวยการบริหารของ GCG Gaming Advisory Services และผู้มีประสบการณ์อยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ให้ความเห็นว่า หากนำตัวอย่างจากกรณี The Venetian Macao ซึ่งมีพื้นที่โครงการรวมประมาณ 1 ล้านตารางเมตร หากใช้เกณฑ์ 10% พื้นที่ที่สงวนสำหรับคาสิโนจะสูงถึง 100,000 ตารางเมตร ซึ่งใหญ่กว่าพื้นที่คาสิโนของ Venetian Macao เอง ที่มีอยู่เพียง 40,000–50,000 ตารางเมตรเท่านั้น
Feeney มองว่าสัดส่วนพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นนี้ แม้จะดูเป็นโอกาส แต่ในทางปฏิบัติอาจขึ้นอยู่กับข้อจำกัดการเข้าใช้บริการด้วย เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับคนไทยที่กำหนดไว้ 5,000 บาท (ประมาณ 150 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมีผลโดยตรงต่อจำนวนผู้เล่น
แม้ว่ามาตรการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าใช้คาสิโนจะประสบความสำเร็จในสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2010 แต่บริบททางเศรษฐกิจของไทยแตกต่างออกไปอย่างมาก โดยในปี 2024 รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรไทยอยู่ที่ 7,985 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับสิงคโปร์ที่สูงถึง 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ
Kevin Clayton ผู้แทนจาก Galaxy Entertainment Group (GEG) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับสัมปทานคาสิโนรายใหญ่ในมาเก๊า เน้นย้ำว่า “ค่าธรรมเนียมควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม และเทียบได้กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้คาสิโนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในสถานบันเทิงครบวงจร ไม่ใช่เป็นอุปสรรค” พร้อมชี้ว่ารายได้หลักของรีสอร์ทแบบครบวงจร (Integrated Resort หรือ IR) มาจากกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากคาสิโน เช่น โรงแรม ช้อปปิ้ง และร้านอาหาร
แม้หลายฝ่ายมองว่าค่าเข้า 5,000 บาทสูงเกินไปสำหรับฐานรายได้ของคนไทยส่วนใหญ่ แต่เสียงในอุตสาหกรรมก็มองว่าตัวเลขนี้ “พอรับได้” หากสถานที่ตั้งของโครงการมีศักยภาพสูงและเชื่อมต่อกับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดี
ปัจจัยการเมืองภายในประเทศถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญที่อาจขัดขวางความสำเร็จของโครงการนี้
Feeney แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ประเทศไทยยังเสี่ยงต่อการเปลี่ยนรัฐบาล หรือแม้แต่รัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นทุกๆ 1–2 ปี และในเวลานี้เองก็ดูเหมือนว่าจะใกล้ถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง การที่รัฐบาลผสมถึง 12 พรรคจะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกพรรคต่างคิดว่าตนเองถูก”
ด้วยเหตุนี้ เขาแนะนำว่านักลงทุนต่างชาติควรหาพันธมิตรไทยที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพ เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเมืองให้แก่โครงการ
แม้ในทางกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้น 100% ได้ แต่ Feeney เตือนว่า “ไม่ควรฝันถึงสิ่งนั้น” และเสนอว่าโมเดลที่ใช้กับ Las Vegas Sands (LVS) ในสิงคโปร์อาจไม่เหมาะสมกับไทย เพราะไทยมีศักยภาพด้านการบริหารโรงแรม รีเทล ศูนย์ประชุม และสวนสนุกอยู่แล้ว ต่างจากสิงคโปร์ที่ต้องพึ่งพาการลงทุนต่างชาติในสาขาเหล่านี้
Feeney เสนอว่านักลงทุนต่างชาติควรเน้นไปที่การบริหาร “พื้นที่คาสิโน” เพียงอย่างเดียว และสามารถเช่าพื้นที่จากเจ้าของโครงการชาวไทยได้ โดยไม่จำเป็นต้องถือครองกรรมสิทธิ์โครงการทั้งหมด
ในด้านการกำกับดูแล ร่างกฎหมายเสนอให้จัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร โดยมี นายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ซึ่งถูกตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระอย่างมาก
ผู้วิจารณ์ในอุตสาหกรรมรายหนึ่งระบุว่า “การให้รัฐบาลควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรง ไม่ใช่แนวปฏิบัติสากล และสุ่มเสี่ยงต่อผลประโยชน์ทับซ้อน”
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า วิธีการนี้อาจสะท้อนถึงความต้องการควบคุมกระแสเงินโดยตรงจากรัฐบาล มากกว่าความมุ่งหมายในการสร้างอุตสาหกรรมที่โปร่งใสและยั่งยืน
แม้รัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันร่างกฎหมายอย่างรวดเร็ว แต่ก็เผชิญเสียงคัดค้านอย่างหนักจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมองว่ากระบวนการร่างกฎหมายขาดการศึกษาความเป็นไปได้เชิงลึก และไม่ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอ
ข้อกังขาสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา คือ แม้จะมีตัวบทกฎหมายใหม่ แต่หากไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ประสิทธิผลก็อาจไม่ต่างจากกฎหมายอื่นๆ ที่ล้มเหลว เช่น กฎหมายสวมหมวกกันน็อกที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างทั่วถึงในอดีต
แม้ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร จะเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการเปิดใจของรัฐบาลไทยต่ออุตสาหกรรมคาสิโนที่ถูกกฎหมาย แต่ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง การเมือง การกำกับดูแล และกระบวนการนโยบายที่ถูกเร่งรัด ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต้องประเมินอย่างรอบคอบ
หากรัฐบาลสามารถสร้างกรอบกำกับดูแลที่เป็นอิสระ โปร่งใส และเสถียรในระยะยาวได้จริง โครงการสถานบันเทิงครบวงจรในประเทศไทยก็อาจกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่หากยังคงเดินหน้าภายใต้กระบวนการที่ขาดความรอบคอบและไม่เปิดกว้างต่อเสียงวิจารณ์ โอกาสทองนี้ก็อาจพังทลายลงก่อนที่จะได้เริ่มต้นอย่างแท้จริง
อ้างอิง