svasdssvasds

เมื่อแผ่นดินไหว ทำให้รู้ว่าใครกันนะ ที่รัก และเป็นห่วงเราจริง

เมื่อแผ่นดินไหว ทำให้รู้ว่าใครกันนะ ที่รัก และเป็นห่วงเราจริง

เมื่อแผ่นดินไหวคือ “จังหวะวัดใจ” วินาทีนั้นจึงได้รู้ว่าใครกันนะที่นึกถึงเราเป็นคนแรก ชวนสำรวจความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง หลังเกิดแผ่นดินไหว

แผ่นดินไหวในเมียนมาคือ เหตุการณ์สุดวิสัย ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าช่วงขณะที่คอนโค หรือตึกสูงทั่วกรุงเทพฯ สั่นโยกเยกไปมา ทุกคนต่างรีบจ้ำเท้าเพื่อรีบออกจากตึกสูงให้ได้ไว้ที่สุด จากนั้น ก็ไล่โทรเช็กว่าคนคุย แฟน หรือคนในครอบครัวว่ายังปลอดภัยดีหรือเปล่า

ตอนนี้แหละจังหวะวัดใจ !

แผ่นดินไหวทำให้คนจำนวนมากเริ่มเห็นว่าใครบ้างที่เป็นห่วงเรา ตัวอย่างที่เราหยิบยกมาให้ดูในวันนี้ มีหลากหลายรูปแบบมาก มีทั้งคนที่รักแฟนมากขึ้น คิดไม่ผิดที่คบคนนี้เป็นเพื่อน บางคนได้รู้ว่าครอบครัวคืออันดับ 1 แต่ก็มีไม่น้อยที่รู้สึกว่าไม่มีใครนึกถึงเขาเลย

เมื่อแผ่นดินไหว ทำให้รู้ว่าใครกันนะ ที่รัก และเป็นห่วงเราจริง

SPRiNG ชวนสำรวจรสชาติความสัมพันธ์อันหลากหลายไปพร้อม ๆ กัน และจะดีมากถ้าคุณร่วมแชร์หน่อยว่าช่วงเกิดแผ่นดินไหวคุณนึกถึงใครคนแรก และใครกันนะ...ที่เป็นคนแรกที่นึกถึงคุณ

เมื่อความตายอยู่ใกล้แค่ใต้จมูก วินาทีนั้นรู้เลยใครรักเราจริง

กลุ่มแรกคือ คนที่บอกว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้รู้ว่าความเป็นกับความตายอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ในแง่ความสัมพันธ์ คู่รัก คนคุย แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อกัน บางคนรู้สึกรักครอบครัวมากกว่าเดิม หรือแม้แต่เพื่อน ๆ เองก็ตาม

“รักกันกว่าเดิมค่ะ ตอนเกิดเหตุเราอยู่คอนโดชั้นสูง ห้องแตกยับ สติแตกร้องไห้ + panic attack ทำอะไรไม่ถูก แฟนกระน้ำโทรมาจนสายไหม้ พอสงบเขาเรียกรถมารับ พอเจอกันเราก็แพนิคอีก แต่เขาอยู่กับเราทั้งคืน ปลอบเราที่ร้องไห้จนหลับไปเอง รู้สึกดีที่สุดที่ชีวิตนี้มีเขาค่ะ”

“รู้สึกรักมากขึ้น ตอนแผ่นดินไหวเราหลับอยู่ที่คอนโด แฟนออกไปทำงาน ช่วงเกิดแผ่นดินไหวเขาโทรหาเราไม่ติด เขาเลยให้นิติช่วยมาเคาะห้องให้หน่อย กลัวเรายังไม่ตื่น พอติดต่อกันได้เขาก็ขับรถมารับเราไปอยู่ด้วย”

“ไม่รู้สิ เวลาอยู่ในสถานการณ์เฉียดตาย หน้าแม่ลอยมาเลยคนแรก นึกถึงใครไม่ออกจริง ๆ”

“คนแรกที่โทรมาหลังแผ่นดินไหวคือ แม่ ตอนนั้น เรากับแฟนอยู่ด้วยกัน แต่สิ่งที่รอเท่าไรไม่มาสักทีก็คือ SMS แจ้งเตือนแผ่นดินไหวจากภาครัฐ”

เข้าใจว่าทุกคนต่างเอาตัวรอด แต่ไม่ห่วงกันสักนิดเลยจริง ๆ เหรอ

อีกกลุ่มหนึ่ง รู้สึกว่าคนคุย หรือคนที่ดูใจกันอยู่นั้นไม่ได้มีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยกันเลย บางคนถึงขั้นเสียความรู้สึกไปเลยก็มี นี่ที่นี้หมายรวมถึงเพื่อนที่คบกันมานาน และครอบครัวด้วย

“รู้สึกจริง ๆ ว่าคนที่ห่วงเราที่สุดก็คือ แม่ น้า ยายเลยค่ะ ทั้งคนคุย คนที่เข้ามาจีบรู้เลยว่าไม่มีใครนึกถึงเรา แต่เราถามเขานะว่าบริเวณแถวนั้นแผ่นดินไหวแรงมั้ย เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้เลยเริ่มเฉย ๆ กับทุกความสัมพันธ์ที่เข้ามา รักตัวเองดีกว่า”

“คนแรกที่เราคิดถึงคนแรกคือแม่ และเราพยายามโทรหาแม่คนแรก คนที่โทรหาเราคนแรกก็คือแม่เช่นกันค่ะ ส่วนเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ที่คิดว่าสนิทกันมาก ๆ คบกันมา 6-7 ปี เขาวิ่งหนีเอาตัวรอดคนเดียว ทิ้งเรายืนนิ่ง เพราะเวียนหัวจนจะวูบ เขาไม่กลับหันมามองเราเลยค่ะ”

“ไม่มีใครโทรมา หรือทักหาเราสักคน มีแต่เราที่เป็นห่วงคนอื่น”

“เลิกกันค่ะ”

 

แม้แปลกหน้า แต่แสดงความห่วงใยให้เราอุ่นใจได้

“พี่ที่เคยเหม็นกันในแผนกจูงมือกันวิ่งลงตึก พอปลอดภัยแล้วยืนกอดกันสมานฉันท์ฉ่ำเลย”

“รัฐบาลจัดการทุกอย่างได้แย่สุด ๆ เรายืนโบกรถจากพระราม 9 ข้ามมาฝั่งธนฯ ขอบคุณพี่ ๆ ใจดีให้ติดรถมา ขอบคุณประชาชนที่ช่วยเหลือกันเอง แจ้งข่าวสารกันเอง ดูแลกันเอง”

“เราเดิน 5 กิโลเพื่อเดินไปส่งน้อง ม.ปลายที่ไม่รู้จักค่ะ เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าน้องปลอดภัย เพราะน้องเป็นผู้หญิง”

นี่เป็นสารพัดความสัมพันธ์ และความรู้สึกที่เกิดขึ้น หลังผ่านพ้นเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วว่าจะตกผลึกกับเหตุการณ์นี้อย่างไร เหตุการณ์แผ่นดินไหว เผยให้เห็นด้านดี หรือด้านลบของสิ่งใดในสังคมบ้าง มาแชร์กันได้

อยากจะปิดจบบทความด้วยคำฝรั่งที่บอกว่า “The worst of nature brought out the best in people”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related