SHORT CUT
ทิเบต ดินแดนหลังคาโลก สู่ใต้เงามังกรแดง ในวันที่ถูกกลืนวัฒนธรรม และผู้นำทางจิตวิญญาณต้องลี้ภัยออกจากดินแดนบ้านเกิด
ความขัดแย้งระหว่างจีนและทิเบตเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีจุดเริ่มต้นจากการที่จีนเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในทิเบตตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ความขัดแย้งนี้ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) ได้เดินทัพเข้าสู่ทิเบตในปี พ.ศ. 2493 (1950) และนำไปสู่การผนวกทิเบตเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนในที่สุด แม้ว่ารัฐบาลจีนจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "การปลดปล่อยทิเบตอย่างสันติ" แต่ชาวทิเบตและรัฐบาลพลัดถิ่นกลับมองว่าเป็น "การรุกรานทิเบตของจีน" ซึ่งนำมาสู่ความขัดแย้งและการต่อต้านอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ถูกนำมาพูดถึงเช่นกัน
ทิเบตเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์ชิงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2263 (ค.ศ. 1720) หลังจากที่ราชวงศ์ชิงขับไล่กองกำลังของข่านจูการ์ออกจากทิเบต และยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิงจนถึงปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912)
หลังจากการปฏิวัติซินไห่ในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) พื้นที่ส่วนใหญ่ของทิเบตกลายเป็นรัฐอิสระ โดยพฤตินัย โดยส่วนที่เหลืออยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทิเบตในปี พ.ศ. 2460 (1917)
รัฐบาลทิเบตมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศน้อยมาก ยกเว้นอินเดีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ทำให้ทิเบตถูกโดดเดี่ยวทางการทูต
ระหว่างปี พ.ศ. 2456 ถึง พ.ศ. 2476 องค์ทะไลลามะที่ 13 พยายามที่จะขยายและปรับปรุงกองทัพทิเบตให้ทันสมัยแต่ไม่สำเร็จ
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2492 (1949) รัฐบาลทิเบตได้ส่งจดหมายถึงรัฐบาลสหรัฐฯ และอังกฤษ แสดงเจตจำนงที่จะป้องกันตนเองจากการรุกรานของจีน อย่างไรก็ตาม กองทัพทิเบตมีขนาดเล็กกว่ามาก และมีอุปกรณ์ด้อยกว่ากองทัพปลดแอกประชาชน (PLA)
ทั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) และพรรคก๊กมินตั๋งต่างยืนกรานว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน
จีนมีแรงจูงใจที่จะ "ปลดปล่อย" ชาวทิเบตจากระบบศักดินาที่ปกครองโดยเทวธิปไตย และรวมทิเบตเพื่อความมั่นคงของพรมแดน โดยมองว่าการรวมทิเบตเป็นสิ่งสำคัญต่อการรวมพรมแดนของตนและแก้ไขข้อกังวลด้านการป้องกันประเทศในภาคตะวันตกเฉียงใต้
การเจรจาและการรุกราน
จีนเสนอว่าทิเบตควรเป็นส่วนหนึ่งของจีน และจีนจะรับผิดชอบด้านการป้องกันประเทศและการต่างประเทศของทิเบต
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2493 (1950) PLA ได้รุกคืบเข้าสู่ทิเบตตะวันออก โดยมีเป้าหมายเพื่อยึดครองกองทัพทิเบตใน Chamdo ทำลายขวัญกำลังใจของรัฐบาลลาซา และกดดันให้รัฐบาลทิเบตเจรจา
ข้อตกลง 17 ข้อ ถูกลงนามในวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 (1951) อนุญาตให้ PLA เข้ามาประจำการในทิเบต และรัฐบาลประชาชนส่วนกลางมีอำนาจในการปกครองทิเบตทางการเมือง
องค์ทะไลลามะทรงยอมรับข้อตกลง 17 ข้อในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2494 (1951) แม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการอนุมัติที่แท้จริง โดยมีหลักฐานว่างาปอย งาวาง จิกเม เพียงแค่มาหาจางและบอกว่ารัฐบาลทิเบตตกลงที่จะส่งโทรเลขในวันที่ 24 ตุลาคม แทนที่จะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากดาไลลามะ ทำให้ PLA เข้าสู่ลาซาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2494 (1951)
รัฐบาลทิเบตยังคงอยู่ในพื้นที่ที่เคยปกครอง ยกเว้นบริเวณ Chamdo ในปี พ.ศ. 2502 (1959) องค์ทะไลลามะลี้ภัย และรัฐบาลทิเบตถูกยุบ
จีนยังคงควบคุมทิเบตอย่างเข้มงวด มีการกล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนและพยายามกลืนกลายวัฒนธรรมทิเบต โดยการส่งชาวฮั่นเข้าไปในพื้นที่ ให้สอนภาษาจีนกลางในโรงเรียนแทนภาษาทิเบต และมีการทำลายศาสนาพุทธซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทิเบตด้วย ชาวทิเบตพลัดถิ่นยังคงเคลื่อนไหวเรียกร้องอิสรภาพ
ทิเบตเป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับหลายประเทศในเอเชีย การสร้างเขื่อนในทิเบตอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค มีการเตือนว่าการสร้างเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้อาจส่งผลทางด้านการเมืองและสิ่งแวดล้อมตามมา
การผนวกทิเบตโดยจีนเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทั้งสองฝ่าย ความขัดแย้งนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและดินแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเด็นทางวัฒนธรรม ศาสนา และสิทธิมนุษยชน การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญในเวทีระหว่างประเทศ และมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในทิเบตยังเป็นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและแหล่งน้ำในภูมิภาค
การเข้ายึดครองทิเบตและการควบคุมซินเจียงอุยกูร์โดยจีนเป็นกรณีที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่จีนใช้ในการขยายและรักษาอำนาจในภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม บทเรียนสำคัญที่สามารถถอดออกมาได้จากทั้งสองกรณีนี้คือ:
การเข้ายึดครองทิเบตโดยจีนเริ่มขึ้นในปี 1950 เมื่อกองทัพปลดแอกประชาชนจีนเข้ายึดครองดินแดนทิเบต ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นดินแดนที่มีความเป็นอิสระบางส่วน ภายหลังจากนั้น ทิเบตถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้แนวคิดการรวมชาติ และการปกครองโดยรัฐบาลกลางของจีน สิ่งนี้ถูกทำเพื่อสร้าง "เอกภาพของชาติ" และลดความเสี่ยงที่ทิเบตจะกลายเป็นดินแดนอิสระที่ขัดแย้งกับจีน
คล้ายกับทิเบต ซินเจียงมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งมีวัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างจากชาวจีนฮั่น ในปี 1949 ซินเจียงถูกผนวกเข้ากับจีนอย่างเป็นทางการ แม้จะเป็นดินแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม แต่จีนได้พยายามรวบรวมและทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ "จีนที่เป็นหนึ่งเดียว" ภายใต้นโยบายการควบคุมที่เข้มงวดและการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
จีนมองว่าการรวมชาติและความเป็นเอกภาพของชาติเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความมั่นคง การควบคุมดินแดนต่างๆ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแตกแยก ซึ่งจีนเห็นว่าอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการแยกตัวหรือการเป็นจุดอ่อนของประเทศ
จีนใช้กำลังทหารเพื่อยึดครองทิเบตในปี 1950 แม้ว่าในตอนแรกจะมีข้อตกลงบางอย่างระหว่างจีนและผู้นำทิเบต (ดาไลลามะ) ที่ให้ทิเบตมีอิสระในการปกครองบางส่วน แต่ในปี 1959 เกิดการลุกฮือต่อต้านจีนในทิเบตซึ่งถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้ดาไลลามะต้องลี้ภัยไปยังอินเดีย หลังจากนั้น จีนได้ยึดอำนาจควบคุมทางการเมืองในทิเบตโดยตรง และเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของทิเบตให้สอดคล้องกับระบบการปกครองของจีน รวมถึงการลดบทบาทของศาสนาพุทธที่มีอิทธิพลต่อชาวทิเบต
จีนใช้มาตรการทางการเมืองและการทหารเพื่อควบคุมประชากรชาวอุยกูร์ในซินเจียง ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งค่ายฝึกอบรม (หรือค่ายกักกัน) ที่จีนอ้างว่าเป็นเพื่อการป้องกันการก่อการร้ายและสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ นอกจากนี้ จีนยังมีการปรับเปลี่ยนระบบการปกครองในท้องถิ่น และสนับสนุนให้ชาวจีนฮั่นย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในซินเจียงเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
จีนใช้วิธีการทางการเมืองและการทหารเพื่อปรับโครงสร้างการปกครองในภูมิภาคที่เข้ายึดครอง การปราบปรามการลุกฮือหรือการต่อต้านเป็นเครื่องมือสำคัญที่จีนใช้เพื่อรักษาอำนาจ การเข้าควบคุมในระดับที่เข้มงวดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ความไม่สงบเป็นกลยุทธ์ที่จีนใช้ในทั้งสองกรณีเพื่อสกัดกั้นการก่อการร้ายหรือการแบ่งแยกดินแดน
ทิเบตเป็นดินแดนที่มีศาสนาพุทธเป็นรากฐานของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของประชาชน จีนได้พยายามจำกัดอิทธิพลของศาสนาพุทธในทิเบตหลังจากการเข้าควบคุม เช่น การปิดวัด การจับกุมพระสงฆ์ที่ต่อต้านจีน และการสร้างกฎระเบียบที่ควบคุมการฝึกปฏิบัติทางศาสนาอย่างเข้มงวด เพื่อทำให้ทิเบตมีวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับแนวคิดของรัฐบาลจีน
ชาวอุยกูร์ในซินเจียงส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จีนได้พยายามควบคุมการปฏิบัติศาสนกิจของชาวอุยกูร์ เช่น การควบคุมมัสยิด การจำกัดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาเพื่อส่งเสริมแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ รวมถึงการควบคุมการเผยแพร่ศาสนาและการปฏิบัติทางศาสนาอย่างเข้มงวด
จีนพยายามลดอิทธิพลของศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ไม่สอดคล้องกับแนวทางการปกครองของจีน การใช้มาตรการจำกัดอิทธิพลของศาสนาและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเป็นวิธีหนึ่งที่จีนใช้ในการรักษาอำนาจในภูมิภาคเหล่านี้
จีนได้เน้นย้ำการพัฒนาเศรษฐกิจในทิเบตโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน รถไฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นและสร้างความชอบธรรมในการปกครองของตนเอง นอกจากนี้ จีนยังส่งเสริมการท่องเที่ยวในทิเบตเพื่อดึงดูดรายได้เข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น
จีนได้นำการพัฒนาเศรษฐกิจมาใช้ในซินเจียงด้วยการลงทุนในอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยหวังว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยลดความไม่พอใจของประชากรในพื้นที่ และส่งเสริมความเป็นเอกภาพของชาติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์และศาสนายังคงเป็นปัญหาอยู่
จีนใช้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมในการควบคุมดินแดนและลดความไม่พอใจในท้องถิ่น การพัฒนาเศรษฐกิจสามารถช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างรัฐบาลและประชาชนในพื้นที่ที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม
จีนใช้การควบคุมสื่อและเครื่องมือด้านการสื่อสารเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นเอกภาพและความสงบสุขในดินแดนที่ถูกควบคุม การโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับความสำเร็จในการพัฒนาทิเบตและซินเจียงมักถูกนำเสนอเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของจีนในฐานะผู้พิทักษ์และผู้นำที่มีความสามารถในการพัฒนาประเทศและดูแลประชาชน แม้จะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในบางพื้นที่ แต่จีนยังคงใช้สื่อเพื่อสื่อสารถึงความชอบธรรมในการ
อ้างอิง
ThaiPublica / HMong / TheMatter / MgrOnline / ทิเบต / ประชาไท /