svasdssvasds

ย้อนเหตุการณ์ 58 ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น

ย้อนเหตุการณ์ 58  ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น

ย้อนเหตุการณ์ 58 ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น-ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่อไม่เห็นความเป็นคุณค่าของมนุษย์

SHORT CUT

  • เหตุการณ์ระเบิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวอุยกูร์สองคน คดีนี้มีความซับซ้อนและใช้เวลานานในการพิจารณาคดีในศาล มีข้อสังเกตว่าเหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน
  • ชาวอุยกูร์จำนวนมากลี้ภัยมายังประเทศไทยตั้งแต่ปี 2557 เนื่องจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศจีน พวกเขาถูกควบคุมตัวในสถานกักกันเป็นเวลานาน และมีหลายรายที่ถูกส่งตัวกลับประเทศจีน ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ
  • กรณีชาวอุยกูร์มีความเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน การที่ประเทศไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนมีผลต่อความสัมพันธ์กับตุรกี

ย้อนเหตุการณ์ 58 ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น-ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่อไม่เห็นความเป็นคุณค่าของมนุษย์

ประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2558 เผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายและซับซ้อนหลายด้าน ทั้งในด้านความมั่นคงภายในประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน สถานการณ์สำคัญสองประการที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นคือ เหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของประชาชน และการตัดสินใจของรัฐบาลในการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ซึ่งก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติเกี่ยวกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน การทำความเข้าใจเหตุการณ์เหล่านี้อย่างละเอียดจะช่วยให้เห็นภาพรวมของความท้าทายที่ประเทศไทยเผชิญ และผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงกว้าง

ย้อนเหตุการณ์ 58  ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น

เหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ

ในวันที่ 17 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 18:55 น. เกิดเหตุระเบิดรุนแรงที่บริเวณศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย โดยมีทั้งชาวไทย 6 ราย และชาวต่างชาติ 14 ราย ซึ่งประกอบด้วยชาวจีน 5 ราย, มาเลเซีย 5 ราย, ฮ่องกง 2 ราย, อินโดนีเซีย 1 ราย และสิงคโปร์ 1 ราย นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 163 คน เหตุระเบิดดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวให้กับประชาชนทั่วไป และส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของประเทศไทย

ย้อนเหตุการณ์ 58  ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น

ภายหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนอย่างเข้มข้น และพบว่าระเบิดที่ใช้เป็นระเบิด TNT น้ำหนัก 3 กิโลกรัม จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบภาพของผู้ต้องสงสัยเป็นชายสวมเสื้อสีเหลือง ซึ่งนำไปสู่การออกหมายจับ ในที่สุด เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม อาเดม คาราดัก ชาวอุยกูร์ ได้ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในย่านหนองจอก เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2558 แม้จะมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ แต่แรงจูงใจและเบื้องหลังของการก่อเหตุยังคงเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

แม้ว่ารัฐบาลไทยจะยืนยันมาโดยตลอดว่าเหตุระเบิดครั้งนี้ไม่ใช่การก่อการร้ายหรือการล้างแค้นของกลุ่มอุยกูร์ แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งภายในประเทศ การดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยเป็นไปอย่างล่าช้าและซับซ้อน โดยมีการโอนคดีจากศาลทหารไปยังศาลอาญา นายอาเดม คาราดัก และนายเมียไรลี ยูซุฟู ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ ได้ให้การปฏิเสธในชั้นศาล โดยอ้างว่าถูกกดดันและไม่เข้าใจภาษาในระหว่างการสอบสวน กระบวนการพิจารณาคดีต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ โดยเฉพาะปัญหาด้านภาษาและการจัดหาล่ามที่เชี่ยวชาญ

ความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยในเหตุระเบิด

ภายหลังการจับกุมผู้ต้องสงสัยในเหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ การพิจารณาคดีได้เริ่มต้นขึ้นในศาลทหาร อย่างไรก็ตาม กระบวนการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากปัญหาเรื่องการหาล่ามภาษาอุยกูร์ และการที่พยานโจทก์ไม่เดินทางมาที่ศาล ต่อมาในปี 2563 ได้มีการโอนคดีจากศาลทหารมายังศาลพลเรือน คือ ศาลอาญากรุงเทพใต้ และเริ่มกลับมาพิจารณาคดีในชั้นสืบพยานอีกครั้งในปี 2565

แม้จะมีการโอนคดีมายังศาลพลเรือนแล้ว แต่กระบวนการพิจารณาคดียังคงเป็นไปอย่างล่าช้าและเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ ปัญหาหลักคือจำนวนพยานที่มีมากถึง 140 รายชื่อ และความซับซ้อนของคดี ทำให้คาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปีจึงจะสามารถฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ นอกจากนี้ จำเลยในคดียังคงถูกคุมขังอยู่ที่คุกภายในค่ายทหารกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

สถานการณ์ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์

ภูมิหลังและความเป็นมา คือชาวอุยกูร์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน พวกเขามีวัฒนธรรมและศาสนาที่เป็นเอกลักษณ์ โดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชาวอุยกูร์เผชิญกับความตึงเครียดและความขัดแย้งกับรัฐบาลจีน สืบเนื่องจากข้อจำกัดในการแสดงออกทางวัฒนธรรมและเสรีภาพในการนับถือศาสนา

จากสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ชาวอุยกูร์จำนวนมากได้ตัดสินใจลี้ภัยออกจากประเทศจีนเพื่อแสวงหาที่พักพิงในประเทศอื่น ๆ เส้นทางการลี้ภัยของพวกเขาหลายครั้งนำไปสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางระหว่างทางเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม โดยเฉพาะตุรกี ซึ่งมีวัฒนธรรมและภาษาใกล้เคียงกัน

ย้อนเหตุการณ์ 58  ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น

ในปี 2557 เจ้าหน้าที่ไทยได้เข้าช่วยเหลือชาวอุยกูร์ที่สงขลา แต่สถานการณ์กลับพลิกผันเมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์จำนวน 109 คนกลับประเทศจีนในเดือนกรกฎาคม 2558 การกระทำดังกล่าวถูกประณามจากนานาชาติและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเป็นการละเมิดหลักการไม่ส่งกลับไปเผชิญอันตราย (non-refoulement) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในกฎหมายระหว่างประเทศ มีความกังวลอย่างยิ่งว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับไปอาจเผชิญกับการถูกทรมาน การประหารชีวิต หรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่น ๆ

ผลกระทบและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ก่อให้เกิดความไม่พอใจและการประท้วงอย่างรุนแรงในประเทศตุรกี ชาวตุรกีจำนวนมากออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของรัฐบาลไทย โดยมีการรวมตัวประท้วงหน้าสถานกงสุลไทยในอิสตันบูล และมีการบุกเข้าไปทำลายทรัพย์สินภายในสถานกงสุล เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและตุรกี ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน

การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ทำให้ประเทศไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนานาชาติ โดยเฉพาะจากประเทศตะวันตกและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว และเรียกร้องให้ประเทศไทยเคารพหลักการด้านสิทธิมนุษยชนและให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัย

ย้อนเหตุการณ์ 58  ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น

นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายรายตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน มีความเกี่ยวข้องกับความต้องการที่จะกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการลงทุนกับจีน ในช่วงรัฐบาล คสช. ประเทศไทยมีความใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น และได้รับคำเชิญให้จีนเข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟรางคู่

สถานะปัจจุบันของผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์

แม้ว่าจะมีผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งที่ได้รับการส่งตัวไปยังประเทศที่สาม เช่น ตุรกี แต่ยังมีชาวอุยกูร์อีกจำนวนมากที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ในสถานกักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ทั่วประเทศ ข้อมูลล่าสุดระบุว่ามีชาวอุยกูร์ประมาณ 41 คนที่ยังถูกคุมขังในห้องกัก ตม. สวนพลู โดยยังไม่ทราบว่าจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อใด

การกักขังชาวอุยกูร์เป็นเวลานาน มีสาเหตุจากปัญหาด้านข้อกฎหมายและกระบวนการ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 54 กำหนดว่า ผู้ที่เข้าเมืองผิดกฎหมายและไม่มีคดีอาญาจะถูกผลักดันออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม สตม. สามารถกักตัวบุคคลเหล่านี้ได้นานเท่าใดก็ได้ จนกว่าจะมีการตัดสินใจส่งออกนอกประเทศ ทำให้ชาวอุยกูร์จำนวนมากต้องติดอยู่ในห้องกักเป็นเวลานานโดยไม่มีกำหนด

ย้อนเหตุการณ์ 58  ไทยส่งอุยกูร์ให้รัฐบาลจีน กระทบความเชื่อมั่น

มีรายงานหลายฉบับที่ระบุถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ในห้องกักของ สตม. ผู้ต้องกักต้องเผชิญกับความแออัด การขาดแคลนสุขอนามัย และการเข้าไม่ถึงบริการทางการแพทย์ที่เพียงพอ สภาพดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ต้องกักอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ามีชาวอุยกูร์เสียชีวิตในระหว่างการคุมขังอย่างน้อย 5 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้ต้องกักในห้องกักของ สตม.

ท่าทีของรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศ

รัฐบาลไทยได้พยายามที่จะรักษาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมายภายในประเทศ การรักษาสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน และการปฏิบัติตามหลักการด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รัฐบาลได้ยืนยันว่าการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เป็นไปตามกฎหมายไทย และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแรงกดดันจากภายนอก อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลขององค์กรระหว่างประเทศและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้

องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) และฮิวแมนไรท์วอตช์ (HRW) ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการกักขังผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ และให้ความคุ้มครองตามหลักการสากล องค์กรเหล่านี้ได้เสนอแนะให้รัฐบาลไทยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ในห้องกัก และเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยสามารถเดินทางไปยังประเทศที่สามที่ปลอดภัยได้

เหตุการณ์ระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณและการจัดการกับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ เป็นสองเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงความท้าทายที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงปี 2558 รัฐบาลต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอกประเทศในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ การพิจารณาคดีของผู้ต้องสงสัยในเหตุระเบิดยังคงดำเนินต่อไปอย่างล่าช้า ในขณะที่ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ยังคงอยู่ในสถานะที่ไม่แน่นอนและถูกคุมขังในสภาพที่ยากลำบาก การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบ ความโปร่งใส และความมุ่งมั่นที่จะรักษาสิทธิมนุษยชนและผลประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก

อ้างอิง

ประชาไท / BBC / ILAW / BENAR / THAI /

related