SHORT CUT
ภาคประชาสังคมเรียกร้อง UN ถอดไทยพ้นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ เสียงสะท้อนคนทำงานใกล้ชิด “อุยกูร์” ยืนยันไม่เคยมีใครบอกว่า “อยากกลับจีน”
วันที่ 4 มี.ค. 2568 วงเสวนา “เรื่องเล่าหลังลูกกรง : 11 ปีกับการทำงานเพื่อสิทธิชาวอุยกูร์ กับเรื่องราวที่ไม่เคยถูกบอกเล่า” โดยมีนักสิทธิมนุษยชนที่ติดตามประเด็นและทำงานร่วมกับชาวอุยกูร์ในไทยมาตั้งแต่ต้นมาร่วมพูดคุยด้วย
ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวกลุ่มแรกที่พบชาวอุยกูร์ ช่วงกลางดึกวันที่ 12 มี.ค. 2557 ในสวนยาง อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ใกล้พรมแดนมาเลเซีย บอกว่า พบบุคคลที่หน้าตาไม่เหมือนชาวโรฮิงญา ทั้งชาย หญิง เด็ก และสตรีตั้งครรภ์ท้องแก่ 7 เดือน พวกเขาพูดว่าเขาคือ “ชาวตุรกี” ปิดบังตัวเองว่าเป็นชาวอุยกูร์จากเมืองซินเจียง ฉีกบัตรประจำตัวพลเมืองจีน ทำลายเงินติดตัวทิ้ง เขามากันเป็นครอบครัว ขายไร่นา หนีการปราบปรามผ่านเส้นทาง เวียดนาม ลาว กัมพูชา ก่อนเดินทางเข้าไทย สงสัยว่าเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์เดียวกับที่นำพาชาวโรฮิงญาออกจากเมียนมา ไปคาซัตสถานก็ถูกจับ การอ้อมโลกคือเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ถูกจับ เขาต้องการไปมาเลเซียเพราะเป็นประเทศมุสลิม
“รู้สึกผิดนะว่าการที่เราไปเจอเขา เขาเป็นข่าว ทำให้เขาไม่ได้กลับบ้านหรือเปล่า แต่ทุกคนทำตามหน้าที่ และในวันนี้ ไม่ใช่ว่าถ้าเขาพบกับครอบครัวตัวจริงแล้วเราจะไม่ดีใจ ครอบครัวของเขาจริงๆ คือใคร คนที่เห็นในภาพในวันนั้นคือครอบครัวที่มาด้วยกัน มาพร้อมกัน แล้ววันนี้พวกเขาทุกคนอยู่ที่ไหน”
สุนัย ผาสุก Human Rights Watch บอกกับฐปณีย์ทันทีที่ทราบข่าวเมื่อปี 2557 ว่า จะรายงานว่าพวกเขาคือคนอุยกูร์ทันทีไม่ได้หากยังพิสูจน์สัญชาติไม่เสร็จ เพราะเขาจะถูกส่งกลับจีนแน่ๆ จีนเข้มกับคนอุยกูร์ที่ลักลอบออกจากประเทศมาก ไทยเป็นประเทศสุดท้ายในอาเซียนที่ถูกจีนกดดันให้ส่งอุยกูร์กลับไป มาเลเซียส่งไปพวกเขาติดคุก 20 ปี ไทยส่ง 109 คนไปจีนปี 2558 สถานทูตจีนฯ ยอมรับเองว่าพวกเขาต้องรับโทษ
“การติดตามว่าพวกเขาปลอดภัย เป็นบ่วงแขวนคอรัฐบาลไทยและคนไทยทั้งประเทศที่ต้องมีภาระติดตามว่าพวกเขามีชีวิตปลอดภัยหรือไม่ตลอดอายุขัยของเขา ผมยังไม่เห็นประโยชน์ว่าไทยได้อะไรนอกจากทำตามที่จีนชี้นิ้วสั่งมา มันลดทอนสถานะของไทย กลายเป็นรัฐบริวารของจีนไปแล้วหรือไม่? ”
ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ผอ.มูลนิธิศักยภาพชุมชน เป็น NGO ที่ติดตามช่วยเหลือชาวอุยกูร์ ระบุว่า มีข้อมูลที่เชื่อได้ว่าการส่งกลับชายอุยกูร์เมื่อปี 2558 มีจำนวนมากกว่า 109 คน และมีบางคนถูกยิงเสียชีวิตก่อนขึ้นเครื่องบินเพราะต่อต้านการส่งกลับ เป็นข้อมูลที่ปิดบังมาโดยตลอด และตอนนี้ยังมีชาวอุยกูร์เหลืออยู่ในไทยอีก 10 คน มี 5 คนถูกจับติดคุกเรือนจำคลองเปรมข้อหาแหกห้องกักและทำลายทรัพย์สินราชการ มี 2 คนเป็นจำเลยคดีลอบวางระเบิด และอีก 3 คนยังอยู่ในห้องกัก ตม.เพราะถือพาสปอร์ตเทอจิสถาน
“รถที่ใช้ส่งกลับคืนนั้น เป็นรถเอกชน เจ้าหน้าที่ ตม.ไม่มีใครรู้ก่อน เป็นปฏิบัติการลับโดยรองนายกฯ สั่งการ เราขับรถตามไป แต่ถนนและทางด่วนถูกปิด เราขอให้ UN ถอดไทยออกจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ เพราะไทยไม่สง่างาม ละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง"
นพ.นิติวุฒิ วงศ์เสงี่ยม แพทย์ผู้ให้การรักษาชาวอุยกูร์ในห้องกัก ตม. เล่าว่า ผู้ต้องกักทุกคนมีสุขภาพแย่กว่าอายุ ปัญหาสำคัญคือสุขภาพจิต พวกเขาคือคนหมดหวังในชีวิต คนได้รับโทษยังรู้กำหนดว่าต้องติดคุกถึงเมื่อไร นี่ไม่รู้และไม่มีโอกาสติดต่อสื่อสารกับครอบครัวและลูกที่ได้ไปตุรกีก่อนเลยด้วยซ้ำ ช่วงปลายเดือนมกราคมมีการอดอาหารประท้วงเมื่อมีความเคลื่อนไหวว่าไทยจะส่งตัวเขากลับ
“ตลอด 2 ปี เข้าไปตรวจประมาณ 15 ครั้ง ได้พูดคุยเกือบทุกคน ผมขอยืนยันว่า ไม่มีสักครั้งเดียวหรือสักคนเดียวที่บอกว่าอยากกลับจีน ทั้งที่สภาพเขาเป็นแบบนั้น"