SHORT CUT
สำรวจประวัติศาสตร์ยาวนานของชาวอุยกูร์ในภูมิภาคซินเจียง การเผชิญหน้ากับอำนาจจีน การกดขี่ และการทำลายวัฒนธรรม
ชาวอุยกูร์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในภูมิภาคเอเชียกลาง ดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่ ซึ่งปัจจุบันคือเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน มีบทบาทสำคัญในเส้นทางสายไหม ประวัติศาสตร์ของชาวอุยกูร์เต็มไปด้วยช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรือง การเป็นอิสระ การติดต่อค้าขาย และการเผชิญหน้ากับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ชาวอุยกูร์ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การแทรกแซงทางวัฒนธรรม และการกดขี่จากรัฐบาลจีน บทความนี้จะสำรวจประวัติศาสตร์ของชาวอุยกูร์ ตั้งแต่ยุคที่พวกเขามีอำนาจและท้าทายจีนได้ จนถึงยุคที่อยู่ภายใต้อำนาจของจีน และเหตุการณ์ที่นำไปสู่แนวคิดและการกดขี่ชาวอุยกูร์ของรัฐบาลจีน
ชาวอุยกูร์มีต้นกำเนิดจากชนเผ่าเร่ร่อนในเอเชียกลาง มีความเกี่ยวข้องกับชนเผ่าซงหนูและชนเผ่าตูเจวี๋ย ในช่วงศตวรรษที่ 8 พวกเขาได้ก่อตั้งอาณาจักรที่เข้มแข็งในบริเวณใกล้เคียงกับแม่น้ำ Orkhon ในมองโกเลีย อาณาจักรอุยกูร์นี้มีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและการค้ากับจีน และบางครั้งก็สามารถท้าทายอำนาจของจีนได้ ในช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวอุยกูร์ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของพวกเขา การเปลี่ยนศาสนาครั้งนี้ทำให้วัฒนธรรมของอุยกูร์เริ่มแตกต่างจากวัฒนธรรมจีนและกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนอื่น ๆ ในเอเชียกลาง
พวกเขามีภาษาอุยกูร์ที่เป็นเอกลักษณ์ มีตัวอักษรเป็นของตัวเอง และมีวรรณกรรม ศิลปะ และดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์
ดินแดนซินเจียง หรือชื่อเต็มว่า "เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์" ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร ดินแดนนี้เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของเส้นทางสายไหมมานานนับพันปี มีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรวรรดิมองโกล และจักรวรรดิแมนจู
เดิมซินเจียงเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณมาตั้งแต่เมื่อสองพันปีก่อน การที่ซินเจียงเป็นจุดเชื่อมจีนเข้ากับเอเชียกลางและเอเชียใต้ทำให้ซินเจียงเจริญถึงขีดสุดในยุคที่การค้าบนเส้นทางสายไหม
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ราชวงศ์ชิงของจีนได้ขยายอำนาจเข้ามายึดครองซินเจียง การเข้ามาของราชวงศ์ชิงและการรวมซินเจียงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ทำให้ชาวอุยกูร์รู้สึกแปลกแยก เนื่องจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม
ถึงแม้ว่าราชสำนักชิงจะเข้าควบคุมซินเจียง แต่การควบคุมในช่วงแรกนั้นมีจำกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ห่างไกล อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อชาติตะวันตกเริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในจีน ราชวงศ์ชิงจึงต้องกระชับอำนาจในซินเจียงเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
หลังจากที่ราชสำนักชิงให้ถอนกำลังออกจากอีลี่ สองพี่น้องชาวอุยกูร์ ควาจา อิจาฮัน และ เบอร์ฮัน อัลดิน ได้ก่อกบฏต่อต้านราชสำนัก พวกเขาสามารถรวบรวมนักรบได้กว่าสามหมื่นนายจากชาวอุยกูร์ ชาวคีกิซ และชาวซุงการ์ที่เหลือรอดจากการกวาดล้างของต้าชิง
ถึงแม้ว่าในช่วงแรกทัพของกบฏจะได้รับชัยชนะ แต่ในที่สุดกองทัพชิงก็สามารถปราบปรามกบฏลงได้ ควาจา อิจาฮัน และ เบอร์ฮัน อัลดิน ถูกจับตัวและประหารชีวิต หลังจากการปราบปรามกบฏ ราชสำนักชิงได้แต่งตั้งผู้นำอุยกูร์ที่ร่วมมือกับตนเป็นเจ้าครองแคว้น และผนวกซินเจียงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีนอย่างเป็นทางการ
ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนได้ใช้นโยบายควบคุมชาวมุสลิมอย่างเข้มงวด และใช้หลักการคอมมิวนิสต์ในการปกครองโดยไม่คำนึงถึงสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่าง ปฏิบัติอย่างรุนแรงกับชาวอุยกูร์ ไม่ยอมรับในวัฒนธรรมและการนับถือศาสนาของชาวอุยกูร์
มีการปิดศาสนสถาน ทำลายมัสยิด ห้ามสอนพระคัมภีร์อัลกุรอาน และสั่งปิดโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม รวมทั้งสั่งห้ามคนอายุน้อยกว่า 50 ปี ไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่มัสยิด ปิดกั้นไม่ให้ชาวมุสลิมสืบทอดประเพณีดั้งเดิมของตนจนไม่สามารถใช้ภาษาของตัวเองได้
รัฐบาลจีนส่งเสริมให้ชาวจีนฮั่นอพยพเข้ามาอยู่ในซินเจียง ทำให้จำนวนชาวฮั่นในซินเจียงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นโยบายเหล่านี้ส่งผลให้ชาวอุยกูร์ถูกกีดกันจากนโยบายของรัฐบาลจีนทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ดำเนินนโยบายกลืนกลายทางวัฒนธรรม โดยการจำกัดการใช้ภาษาอุยกูร์ การควบคุมการสอนศาสนา และการส่งเสริมวัฒนธรรมจีน นโยบายเหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอุยกูร์ และนำไปสู่ความขัดแย้งและการประท้วง
ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ใน "ค่ายปรับทัศนคติ" องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยจากซินเจียงอ้างว่าผู้ถูกกักขังต้องเผชิญกับการล้างสมอง การทรมาน และการบังคับใช้แรงงาน รัฐบาลจีนอ้างว่าค่ายเหล่านี้เป็น "ศูนย์ฝึกอาชีพ" ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์พัฒนาทักษะในการทำงานและป้องกันแนวคิดหัวรุนแรง
อย่างไรก็ตาม นานาชาติได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในซินเจียง และกล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ ข้อกล่าวหาเหล่านี้รวมถึงการควบคุมทางศาสนา การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การบังคับใช้แรงงาน และการเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้าที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานที่ถูกบังคับจากซินเจียง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานในจีน ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและแรงงาน
รัฐบาลจีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมด โดยยืนยันว่าค่ายกักกันเป็นเพียง "ศูนย์ฝึกอาชีพ" ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์มีงานทำและป้องกันการก่อการร้าย จีนยังได้พยายามควบคุมการสื่อสารเกี่ยวกับซินเจียงในระดับนานาชาติ เช่น การกดดันบริษัทต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของตน และการใช้สื่อของรัฐเผยแพร่ข้อมูลเพื่อแก้ต่างให้กับรัฐบาล
ประวัติศาสตร์ของชาวอุยกูร์เป็นเรื่องราวของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเอง แม้ว่าชาวอุยกูร์เคยมีช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองและเป็นอิสระ แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การกดขี่ และการเลือกปฏิบัติ นโยบายของรัฐบาลจีนได้สร้างความไม่พอใจและความขัดแย้งในหมู่ชาวอุยกูร์ และสถานการณ์ในซินเจียงยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลในระดับนานาชาติ
การแก้ไขปัญหาในซินเจียงต้องอาศัยความเข้าใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ รัฐบาลจีนควรพิจารณาทบทวนนโยบายของตน และให้ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงออกของชาวอุยกูร์ การสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในซินเจียง
ความหวังคือการสร้างความเข้าใจและความเคารพระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อให้ชาวอุยกูร์และชาวฮั่นสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติและยุติธรรม การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาลจีน นานาชาติ และตัวแทนของชาวอุยกูร์ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในภูมิภาคนี้
อ้างอิง
KomKid / Thai / ศิริพร ดาบเพชร / TheMatter /