SHORT CUT
หลังผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่อคติต่อ LGBTQIA2S+ และการเลือกปฏิบัติยังคงมีอยู่ ภาคธุรกิจและการลงทุนถาม "กรุงเทพฯ จะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสีชมพูได้ไหม?" ถ้านโยบายยังไม่สอดรับการกฎหมาย หรือการโอบรับความหลากหลายจะเป็นเพียงการตลาด?
ธนะชัย กุลสมบูรณ์สินธ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Canvas Ventures International กล่าวว่า กรุงเทพฯ อาจได้รับการกล่าวถึงในฐานะเมืองที่เป็นมิตรกับ LGBTQIA2S+ โดยเฉพาะหลังจากที่ กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านในปี พ.ศ.2568 แต่คำถามคือ กรุงเทพฯ จะพูดถึงแค่กฎหมายนี้เพียงอย่างเดียวจริงหรือ?
เศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) หรือเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการใช้จ่ายของ LGBTQIA2S+ เป็นโอกาสหนึ่งที่มาพร้อมกับการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่การพัฒนาเศรษฐกิจสีชมพูให้ยั่งยืนนั้นต้องอาศัยมากกว่ากฎหมาย แต่ต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของประเทศ
ธนะชัย วิเคราะห์ต่อไปว่า ทุกวันนี้สังคมไทยยังคงเผชิญกับปัญหาการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณี วุฒิสภาไทยท่านหนึ่งเสนอให้ตรวจปัสสาวะนักท่องเที่ยว G-Circuit ทุกคน และขอให้ทางการไทยเตรียมคุกขังนักท่องเที่ยวให้เพียงพอ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) แต่ยังเป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจจากกลุ่ม LGBTQIA2S+ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการมาประเทศไทย ในขณะที่ไทยพยายามดึงดูดกลุ่ม LGBTQIA2S+ ผ่านเศรษฐกิจสีชมพู การออกนโยบายเช่นนี้อาจกลายเป็นปัจจัยที่ บ่อนทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ และทำให้ประเทศไทยถูกตั้งคำถามว่าพร้อมหรือไม่ในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีชมพูที่แท้จริง
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่าง Gay Festival ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการ ยกตัวอย่าง งาน G-Circuit ในช่วงสงกรานต์ปี 2567 มีผู้เข้าร่วมกว่า 10,000 คน เงินสะพัดประมาณ 400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่กล่าวหาว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นภัยต่อสังคม อาจทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ต้องหยุดชะงัก นักลงทุนและนักท่องเที่ยว LGBTQIA2S+ ต้องการความมั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับการต้อนรับ ไม่ใช่เพียงแค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ การมีทัศนคติที่ขัดแย้งกันในภาครัฐ ทำให้เกิดคำถามว่าสุดท้ายแล้ว "เศรษฐกิจสีชมพูของไทยจะเป็นโอกาสจริงหรือแค่ภาพลวงตา?"
ในองค์กรระดับนานาชาติยังคงให้ความสำคัญกับการโอบรับ-ความหลากหลาย-ความเท่าเทียม หรือ DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากหลายบริษัทยังคงรักษานโยบาย DEI ของตัวเองโดยไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลางตามแนวทางของทรัมป์ที่ลดบทบาทของ DEI ดังนั้นยุทธศาสตร์ที่ไทยกำหนดให้เป็นประเทศเป้าหมายของนักท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อ LGBTQIA2S+ ก็ยังถือว่าเป็นโอกาสยุคนี้
ธนะชัย กล่าวว่า การที่กรุงเทพฯ ได้รับการโปรโมตว่าเป็น LGBTQIA2S+ Friendly City อาจเป็นเพียงด้านหนึ่งของภาพลักษณ์ แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ ประเทศไทยมีนโยบายที่เอื้อต่อกลุ่ม LGBTQIA2S+ จริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงแค่แผนการตลาดที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างแท้จริง หากภาครัฐยังมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน เช่น การสนับสนุนการท่องเที่ยว LGBTQIA2S+ แต่ในขณะเดียวกันก็เสนอให้ตรวจปัสสาวะนักท่องเที่ยว LGBTQIA2S+ เพื่อจับกุม นั่นหมายความว่า แนวทางของประเทศไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเป็นมิตรกับ LGBTQIA2S+ อย่างแท้จริง
นโยบายของรัฐมีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจ หากไทยต้องการใช้เศรษฐกิจสีชมพูเป็นเครื่องมือในการเติบโต กรุงเทพฯ จำเป็นต้องมีแนวทางที่ชัดเจนและมั่นคงมากกว่าการจัดงานเทศกาล ที่สำคัญกว่านั้น รัฐบาลต้องไม่คล้อยตาม แต่ควรใช้โอกาสนี้เป็นจุดแข็งของกรุงเทพฯ ในการดึงดูดการลงทุนและสร้างความมั่นใจในภาคธุรกิจ
ธนะชัย สรุปว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจสีชมพู แต่สิ่งที่ต้องทำไม่ใช่แค่การจัดงานเทศกาลหรือออกกฎหมายสมรสเท่าเทียมเท่านั้น รัฐบาลต้อง ปรับปรุงกฎหมายแรงงาน LGBTQIA2S+ ลดอุปสรรคทางธุรกิจ และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ชั่วคราว หากสามารถดำเนินการในแนวทางนี้ได้ กรุงเทพฯ อาจสามารถใช้จุดอ่อนของประเทศอื่นให้เป็นจุดแข็งของตัวเอง และกลายเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับ LGBTQIA2S+ อย่างแท้จริง เมื่อโลกเปลี่ยน ไทยพร้อมหรือยัง? หรือเราจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ?