เดอะวิสดอมกสิกรไทย ส่องเทรนด์พร้อมจัดพอร์ตลงทุนใหม่ เอเชียผงาด อินเดีย อินโดฯ เวียดนาม ตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง
ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ปัจจัยเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดการเงินและตลาดทุนทั่วโลก นักลงทุนในปัจจุบันจึงจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมและศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการลงทุน เนื่องจาก “การลงทุนมีความเสี่ยง” และตลาดโลกยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงทิศทางการลงทุนในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น เดอะวิสดอมกสิกรไทยได้จัดงานสัมมนา “THE WISDOM Wealth Decoded: "จับตาการกลับมาของเศรษฐกิจเอเชีย ท่ามกลางมรสุมโลก" โดยได้รับเกียรติจาก นายพิชัย ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บมจ. หลักทรัพย์กสิกรไทย มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์และแนะแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมให้กับลูกค้าเดอะวิสดอม ซึ่งมี 3 ตลาดดาวรุ่งของเอเชียที่น่าจับตามอง ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
ทั้งนี้หากลงรายละเอียดเชิงลึกในแต่ละประเทศ พบว่า ตลาดอินเดียมีจุดเด่นคือโครงสร้างประชากร ซึ่งมีจำนวนประชากรอันดับ 1 ของโลก และยังมีอัตราการเติบโต 0.8% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยรัฐบาล มูลค่า 1.3 แสนล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 15% ของ GDP ในช่วงปี 2024-2026 จะช่วยหนุน GDP โตได้ถึง 8% ขณะที่โครงการ Systematic Investment Plan (SIP) ที่ให้ผู้มีรายได้ลงทุนผ่านกองทุนทั้งตราสารหนี้ และหุ้นเป็นประจำทุกเดือน พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี มีเม็ดเงินราว 9 หมื่นล้านบาททุกเดือน อย่างไรก็ตามยังมีความกังวลการถอนเงินจากการออมทรัพย์มาลงทุนในหุ้น เนื่องจากมูลค่าตลาดหุ้นแพง พร้อมคาดหวัง EPS Growth สูง
อีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจ และเป็นตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคอาเซียน บ้านใกล้เรือนเคียงกับไทย นั่นก็คือ ตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งอินโดนีเซียมีจำนวนประชากรมากที่สุดในอาเซียน และเป็นอันดับ 4 ของโลก พร้อมทั้งมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี รัฐบาลมีการอัดฉีดงบประมาณ 3.2 หมื่นล้านเหรียญช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2 ทศวรรษข้างหน้า ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับการพัฒนาในประเทศ รวมถึงการย้ายเมืองหลวงใหม่ นอกจากนี้ยังมีนโยบาย "Downstream policy" ที่ห้ามการส่งออกแร่ดิบ โดยมุ่งสร้างงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของประเทศ
ถัดมาคือตลาดคู่แข่งขันที่สำคัญของไทย นั่นก็คือเวียดนาม ซึ่งก็เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากถึง 100 ล้านคนแล้ว มีการขยายตัวของเมืองดี ทำให้แนวโน้มรายได้ของประชากรชั้นกลางเพิ่มขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจมีการขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนแรงงานต่ำ ทำให้เวียดนามเป็นฐานการผลิตสินค้าของแบรนด์ระดับโลก พร้อมทั้งมีจุดแข็งคือการที่มี FTA กับทั่วโลก อีกทั้งด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อตลาดหุ้นโลก (Correlation) ที่ต่ำ ทำให้มองว่าการเพิ่มหุ้นเวียดนามจะช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตได้ ช่วยทำให้พอร์ตมีความสมดุลมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่นักลงทุนต้องจับตาคือการเข้าสู่วัฏจักร "ดอกเบี้ยขาลง" ซึ่งธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกเริ่มมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนำไปก่อนแล้ว และล่าสุด FED ก็ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ฝั่งเอเชีย
ทั้งนี้ มีกองทุนแนะนำที่น่าสนใจ 3 กองทุน ได้แก่
K-APB-A(A): กองทุนเปิดเค เอเชีย แปซิฟิค บอนด์-A (A) ลงทุนในตราสารหนี้ โดยเน้นผู้ออกตราสารหนี้ในเอเชียแปซิฟิก (รวมถึงญี่ปุ่น) ผ่านกองทุนหลัก Lombard Odier Asia Value Bond
K-GINFRA-C(A): กองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน-C ลงทุนในหุ้น และ REITs ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ผ่านกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds Global Infrastructure
K-VIETNAM: กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน ลงทุนในหุ้นเวียดนามคุณภาพดี มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง
ลูกค้าเดอะวิสดอมกสิกรไทยที่สนใจ สามารถติดตามงานสัมมนา THE WISDOM Wealth Decoded ครั้งต่อไปได้ที่ https://www.kasikornbank.com/k_3ze7XMU
#KBankTHEWISDOM #WealthDecoded #KBank
*ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
Internal Use Only