ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เผย 6 ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย ครึ่งปีหลัง 2565 ซึ่งมีที่มาจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2565 ดังต่อไปนี้
6 ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย ครึ่งปีหลัง 2565
1. เงินเฟ้อพุ่งทะลุ 10% กดดันการบริโภค
2. เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เร่งขึ้นดอกเบี้ยแรงต่อเนื่อง
3. การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ชะลอโครงการใหม่
4. ปัญหาความขัดแย้งในยุโรปรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันยังคงพุ่งสูง
5. สหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยเร็ว แต่เงินเฟ้อยังสูง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยแม้การว่างงานพุ่ง
6. จีนต้องล็อกดาวน์อีกรอบหลังมีการระบาดของโควิดในหลายเมือง ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอหนักกระทบการส่งออกของไทย
บทความหรือข่าวที่เกี่ยวข้อง
เงินเฟ้อในไตรมาสที่ 3 ของไทย มีโอกาสแตะ 10 %
การเร่งตัวของราคาสินค้ากลุ่มอุปโภคและบริโภคที่มีต้นทุนจากน้ำมัน อาหารสัตว์ และการขนส่ง เงินเฟ้อสูงกดดันการบริโภคให้ชะลอหรือโตช้ากว่าที่น่าจะเป็น แม้ได้อานิสงส์จากการเปิดเมือง
ซึ่งมีโอกาสที่เงินเฟ้อไตรมาส 3 แตะระดับ 10% ได้ อยู่ในระดับสูงสุดของปี จากราคาน้ำมันที่ยังสูง ราคาอาหารสด และน่าจะเริ่มเห็นเงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ หลังกำลังซื้อฟื้นตัวจากไตรมาส 2 รับการเปิดเมือง อีกทั้งจากฐานต่ำปีก่อน
เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตช้าในช่วงไตรมาส 3
เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตช้าในช่วงไตรมาส 3 แต่ไม่น่าถึงขั้นถดถอย และมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่าที่สำนักวิจัยฯ คาดไว้ก่อนหน้าที่ 3.1% โดยเฉพาะจากการเปิดเมืองที่เร็วในเดือนมิถุนายนและการกลับมาของนักท่องเที่ยวมากกว่าที่คาด มีโอกาสเห็น GDP ไทยครึ่งปีหลังขยายตัวมากกว่า 4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะถดถอยต้นปีหน้า หลังขึ้นดอกเบี้ยแรงเพื่อชะลอการบริโภคและการลงทุน อัตราการว่างงานน่าจะขยับขึ้น ลดความร้อนแรงของการปรับขึ้นค่าจ้าง ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะได้รับผลกระทบชัดเจน จากการที่ดอกเบี้ยกู้บ้านปรับขึ้นจาก 3% ในปีก่อนเป็นระดับ 6% เป็นการเคลื่อนไหวตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 30 ปี ส่งผลให้คนชะลอซื้อบ้าน อีกทั้งยอดขายบ้านใหม่ที่ลดลงจะกระทบการจ้างงานกลุ่มก่อสร้างและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง
ในมุมเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบหากสหรัฐเผชิญปัญหาเศรษฐกิจถดถอย เพราะการถดถอยทางเศรษฐกิจเป็นภาวะชั่วคราวเพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ และสหรัฐฯ น่าจะฟื้นตัวได้เร็วผ่านการลดดอกเบี้ยและการอัดฉีดทางการคลัง ผลกระทบต่อไทย จะผ่าน 3 ช่องทาง คือ
1. การส่งออกชะลอตามอุปสงค์ตลาดโลก
2. การท่องเที่ยว ที่อาจโตช้าช่วงครึ่งปีแรก แต่อาจไม่มากหากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ลามไปยุโรปที่เป็นลูกค้าหลักของไทย
3. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก เช่น น้ำมัน เหล็ก สินค้าเกษตรน่าจะปรับย่อลง ซึ่งน่าจะสนับสนุนเงินเฟ้อไทยให้ลดลง แต่รายได้ภาคเกษตรอาจชะลอตัวเช่นกัน โดยรวมการถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐไม่ถึงขั้นรุนแรงเป็นวิกฤติรอบใหม่
และวัฏจักรเศรษฐกิจไทยต่างจากสหรัฐ เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว เงินเฟ้อฝั่งอุปสงค์เริ่มมาในไตรมาส 3 การขึ้นดอกเบี้ยของไทยปีหน้ายังจำเป็นเพื่อลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ และน่าจะเห็นเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่า 4% นับจากไตรมาส 3 ปีนี้ถึงปีหน้า
แนวโน้มและทิศทางค่าเงินบาท
ปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าเหนือระดับ 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดือนมิถุนายน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.75 % กระทบเงินไหลออก และมีโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75 % ในเดือนกรกฎาคมเพื่อดึงเงินเฟ้อในสหรัฐให้ลดลง ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดทุนไทย บาทจึงมีโอกาสแตะระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเดือนกรกฎาคม
แต่หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ถึงจุดสูงสุด ก็คงเห็นการลดลงของเงินเฟ้อเดือนต่อเดือนในช่วงต้นไตรมาส 3 โดยน่าจะเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.5 % ในรอบเดือนกันยายน และอีก 0.25 % ในสองรอบการประชุมในไตรมาส 4 ปลายปีนี้น่าเห็นดอกเบี้ยสหรัฐที่ 3.5 % ซึ่งการลดความแรงของการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ น่าเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และกลับมาลงทุนในไทย
ดร.อมรเทพ จาวะลา มองว่าเงินบาทมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาส 4 โดยเฉพาะหลังจากที่ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น เงินบาทน่าจะแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปีนี้ อีกทั้งทางธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะขยับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นทุกรอบการประชุม คือในเดือนสิงหาคม กันยายนและพฤศจิกายน ที่น่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงปลายปีนี้ขยับจาก 0.5 % ไปสู่ระดับ 1.25% เป็นอย่างน้อย และยังคงเพิ่มต่อเนื่องในปีหน้าเพื่อสกัดเงินเฟ้อให้ลดลง ซึ่งการเร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยน่าจะเพิ่มความน่าสนใจของสินทรัพย์ในรูปเงินบาทและส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง
สรุป
แม้เรามองเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่า 4% ในช่วงครึ่งปีหลังและต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เสมือนแสงรำไรจากการเปิดเมืองและการฟื้นตัวด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค แต่เราอาจต้องตั้งรับกับความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจทั้งของไทยและต่างประเทศ หรือพายุทั้ง 6 ลูกที่เตรียมกระหน่ำเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 และอาจทำให้เติบโตน้อยกว่าที่คาด