svasdssvasds

เลิกกังวลกับคนอื่น แล้วใช้ทฤษฎี "ปล่อยให้เขาเป็นไป" ดำเนินชีวิตแทน !

เลิกกังวลกับคนอื่น แล้วใช้ทฤษฎี "ปล่อยให้เขาเป็นไป" ดำเนินชีวิตแทน !

อย่าพยายามควบคุมคนอื่น แต่ให้ใช้ทฤษฎี "ปล่อยให้เขาเป็นไป" (Let Them Theory) ที่มีรากฐานมาจากพุทธศาสนาดำเนินชีวิตของเราต่อไป

SHORT CUT

  • เมื่อเราหวังให้ผู้คนเปลี่ยนไปตามที่เราคิดว่าถูกต้อง แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไร เรากลับยิ่งเครียดและผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น
  • เมื่อเราไม่พยายามเปลี่ยนแปลงผู้คน ความรู้สึก หรือการกระทำของพวกเขาอีกต่อ จะส่งผลให้เรากลับมามีพละกำลัง และโฟกัสว่าอะไรที่มีประโยชน์
  • นี่ไม่ใช่การไม่สนโลก แต่คือการทำความเข้าใจว่าขอบเขตของอิทธิพลเราสิ้นสุดที่ตรงไหน และยอมรับว่ามีบางสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา

อย่าพยายามควบคุมคนอื่น แต่ให้ใช้ทฤษฎี "ปล่อยให้เขาเป็นไป" (Let Them Theory) ที่มีรากฐานมาจากพุทธศาสนาดำเนินชีวิตของเราต่อไป

เราเคยรู้สึกเหนื่อยใจกับพฤติกรรมของคนอื่นหรือไม่? เช่น เสียเวลาไปหลายชั่วโมงกับการคิดวนเวียนว่าทำไมหัวหน้าที่ทำงานไม่ชวนเราเข้าประชุม ทำไมรถคันนั้นถึงปาดหน้าเราบนถนน ทำไมเพื่อนไม่ชวนเราไปเที่ยว หรือทำไมเพื่อนของเรายังคบกับแฟนคนเดิม ทั้งที่แฟนเพื่อนนิสัยเฮงซวยสุดๆ !

บางครั้งเราอาจเผลอใช้พลังงานไปกับการควบคุมหรือกังวลว่าคนรอบตัวจะทำอะไร คิดอะไร หรือแม้แต่จะตัดสินใจอย่างไร จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเราเอง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราหวังให้พวกเขาเปลี่ยนไปตามที่เราคิดว่าถูกต้อง แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไร เรากลับยิ่งเครียดและผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น

วันนี้เราจะพามารู้จัก ทฤษฎี "ปล่อยให้เขาเป็นไป" (Let Them Theory) ซึ่งจะช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีหยุดเสียเวลาหมกมุ่นกับเรื่องของคนอื่น และหันมาโฟกัสกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากขึ้น

หนังสือ “The Let Them Theory”

ปล่อยวางเรื่องของคนอื่นอย่างไร ? 

แนวคิดนี้เพิ่งได้รับความนิยม โดย ‘เมล ร็อบบิ้นส์ (Mel Robbins)’ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและกูรูด้านการพัฒนาตนเองชาวอเมริกัน ซึ่งมีผู้ติดตามหลายล้านคนใน Instagram

ร็อบบิ้นส์ออกหนังสือ “The Let Them Theory” ในปี 2024 และติดอันดับ New York Times Bestseller อย่างรวดเร็ว จนสื่อใหญ่อย่าง CNN และ The New York Times ถึงขั้นต้องไปสัมภาษณ์ผู้เขียน เพราะมีคนบนโลกออนไลน์จำนวนมากบอก ‘หนังสือนี้เปลี่ยนชีวิตพวกเขาจริงๆ’

โดยหลักคิดของ (Let Them Theory) ก็ง่ายๆ ดังนี้

  • ถ้ามีคนขับรถปาดหน้าคุณบนถนน? ปล่อยให้เขาเป็นไป!
  • เพื่อนของคุณยังคบกับแฟนที่ไม่เอาไหน? ปล่อยให้เขาเป็นไป!
  • ทุกครั้งที่คุณกำลังคิดวนเวียนถึงพฤติกรรมของคนอื่น จงจำไว้ว่า—ปล่อยให้เขาเป็นไป!

เพราะการเลิกพยายามควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่นนั้นมีประโยชน์อย่างมาก ไม่เพียงแต่สำหรับตัวคุณเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนรอบข้างคุณด้วย เมื่อเราไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้อง 'แก้ไข' หรือ 'ช่วยเหลือ' คนอื่น เราจะสามารถยอมรับพวกเขาในแบบที่พวกเขาเป็นได้ง่ายขึ้น 

สิ่งที่ได้เมื่อเราหยุดคิดเรื่องคนอื่น !

สิ่งที่ได้เมื่อเราหยุดคิดเรื่องคนอื่น !

เมื่อเราไม่พยายามเปลี่ยนแปลงผู้คน ความรู้สึก หรือการกระทำของพวกเขาอีกต่อ จะส่งผลให้เรากลับมามีพละกำลัง และโฟกัสว่าอะไรที่มีประโยชน์ เช่น กลับมาทำอะไรที่ตัวเองสนใจจริงๆ ใช้เวลากับเพื่อนกลุ่มอื่นที่เราสบายใจมากกว่า

นี่ไม่ใช่การไม่สนโลก แต่คือการทำความเข้าใจว่าขอบเขตของอิทธิพลเราสิ้นสุดที่ตรงไหน และยอมรับว่ามีบางสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ซึ่งก็คือสถานการณ์ส่วนใหญ่ในชีวิต ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลา เราควรโฟกัสที่การกระทำและการตอบสนองของตัวเอง

เราไม่สามารถควบคุมผู้อื่นได้ ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาหมกมุ่นกับพวกเขา เราควรโฟกัสที่การกระทำและการตอบสนองของตัวเอง ที่ทำให้จิตใจสงบ และอารมณ์แจ่มใสอีกครั้ง

แน่นอนว่า ทฤษฎี "ปล่อยให้เขาเป็นไป" ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ครอบจักรวาล ผู้เขียนแนะนำว่าบางเรื่องก็ปล่อยไม่ได้ เช่น เห็นคนอื่นทำสิ่งที่อันตรายมากๆ หรือหากคุณเห็นใครบางคนถูกเลือกปฏิบัติ คุณอาจต้องลุกขึ้นมาพูดและแสดงจุดยืน

นอกจากนี้ คุณต้องรู้จักเรียกร้องสิทธิ์และสิ่งที่คุณต้องการเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองเงินเดือนที่สูงขึ้น หรือออกมาปกป้องตัวเองบ้างหากใครละเมิดขอบเขตของคุณซ้ำๆ

ทฤษฎี "ปล่อยให้เขาเป็นไป" ไม่ได้ปราศจากเสียงวิจารณ์ เนื่องจากบางคนโต้แย้งว่าทฤษฎีนี้เป็นเพียงการลอกแนวคิด สโตอิก (Stoicism) ของกรีกโบราณมาเปลี่ยนชื่อใหม่เท่านั้น แต่ร็อบบิ้นส์ก็ตอบเพียงแค่แนวคิดของเธอ ได้แรงบันดาลใจมาจากพุทธศาสนา, ทฤษฎีการปล่อยวาง (Detachment Theory) ,สโตอิก และทฤษฎียอมรับอย่างสุดขั้ว (Radical Acceptance) มารวมๆ กันเป็นแนวคิดรุ่นใหม่ที่ใช้ได้จริง

ที่มา : huffpost,melrobbins

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related