องค์กรยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญกับ Soft Side Management บริหารด้วยความเข้าใจ ใส่ใจจิตใจพนักงาน สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ลดความ Toxic หมดยุคบ้าอำนาจ กดขี่พนักงาน !
บทความชิ้นนี้ว่าด้วยเรื่อง Soft Side & Hard Side Management หากต้องการเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ควรบริหารทั้งด้าน ‘อ่อนและแข็ง’ ให้ดีเสมอกัน หมดยุคบ้าอำนาจ กดขี่พนักงานอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เพราะนี่เป็นยุคสมัยแห่งการซื้อใจคน !
งานเป็นสิ่งซึ่งมอบอะไรหลาย ๆ อย่างให้กับมนุษย์ ทำให้มีเงิน ทำให้มีหน้ามีตาในสังคม หรือทำให้เปลี่ยนชนชั้นทางสังคม ฯลฯ นำมาสู่สถานที่สำคัญที่กวาดต้อนคนมาร่วมกันทำงานก็คือ ออฟฟิศ เมื่อผู้คนร้อยพ่อพันธุ์แม่อยู่รวมกันย่อมเกิดปัญหา สิ่งสำคัญคือ องค์กรจะบริหารจัดการมดงานเหล่านี้อย่างไร ให้ทำงานด้วยกันอย่างสันติ
จึงเป็นที่มาของ 2 แนวคิด ที่ได้รับความนิยมคนละยุคสมัยอย่าง “Hard Side & Soft Side Management” ฝ่ายหนึ่งบอกการควบคุมมนุษย์ต้องใช้พลังอำนาจ เพื่อบรรลุเป้าหมายในโลกทุนนิยม ฝ่ายหนึ่งบอก ‘ไม่’ พวกแกทำร้ายจิตใจคนมากพอแล้ว วิธีการได้งานของพวกแกมันสกปรก มือเปื้อนเลือด 2 แนวคิดนี้แตกต่างกันอย่างไร ทางออกอยู่ตรงไหน เรามีคำตอบมากฝากกัน
Hard Side Management - ว่ากันว่าไอเดียนี้ใช้ปกครองมนุษย์ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวคือ ผู้นำหรือองค์กรต่าง ๆ ล้วนคุ้นชินกับการบริหารแบบนี้มาเนิ่นนาน พวกเขากดขี่พนักงาน โหดเหี้ยม ไร้ศีลธรรม ขาดความเห็นอกเห็นใจ และบ้าอำนาจอย่างถึงที่สุด ใครทนไม่ไหวก็ต้องพ่ายไป ซึ่งมีผู้คนไม่น้อยที่เจ็บปวด และชีวิตแตกสลายจากระบอบการกดขี่ของ Hard Side
Soft Side Management - โลกได้วิวัฒนมาถึงจุดที่มองทุกคนเป็นคนอย่างเท่าเทียมกัน พวกเขามีอารมณ์ ความรู้สึก กล่าวคือ องค์กรควรให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจของพนักงานเป็นสำคัญ นี่เป็นแนวคิดการบริหารรูปแบบใหม่ ที่มิใช่จ้องจะกินหัวพนักงานฝ่ายเดียว แต่องค์กรต้องสื่อสารให้พนักงานรู้พร้อมกันว่าพวกเขาจะรอดไปด้วยกัน ทำงานด้วยกันอย่างสบายใจ และทำงานที่มีความหมาย
ไถจากหน้าฟีดข่าว องค์กร หรือผู้นำบริษัทในประเทศไทย จำนวนไม่น้อยที่ยังสวมหมวกโบราณ บริหารคนและองค์กรเฉกเช่นคนตกเทรนด์ ไม่ใช่ว่าต้องวิ่งตามเทรนด์ แต่การบริหารแบบ Hard Side นั้นถูกพิสูจน์จนสิ้นสงสัยแล้วว่ามีแต่ความ Toxic
หรือพูดให้เห็นภาพก็คือ ถ้าคุณเป็นหัวหน้าจำพวก บ้า KPI จิกหัวพนักงาน วัน ๆ มัวแต่จ้องจับผิดในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น การเข้างานออกงาน แล้วพยายามหาเหตุผลมาทำลายล้างกัน โดยอ้างว่า “ทำตามหน้าที่” หรือแม้แต่การลงท้ายประโยคว่า “ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป มีคนอยากมาทำตรงนี้เยอะแยะมากมาย” วินิจฉัยได้เลา ๆ ว่าคุณอาจกำลังหลงระเริงกับอำนาจที่มีอยู่ในมือ ซึ่งนับว่าตกยุคเต็มที
นี่ยังไม่รวมถึงก้อนอัตตาที่ก่อเกิดมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อวันใดวันหนึ่งคุณเลื่อนชั้นกลายเป็นหัวหน้าคน พรั่งพร้อมด้วยประสบการณ์ รู้วิธีแก้ไขปัญหาทั้งหมด จนเผลอพลั้งใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คำนึกเลยว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว
ดังจะเห็นได้ว่าผู้นำระดับโลกหลาย ๆ คน ค่อนข้างเปิดกว้าง (open-minded) รับฟังความคิดเห็นผู้อื่นอยู่เสมอ มีความยืดหยุ่นสูง ทั้งยังถือความสบายใจของพนักงานเป็นสำคัญ
จะเรียกว่าเป็นหยินหยางก็ไม่ปาน ขึ้นอยู่กับบริบท เหตุการณ์ สถานที่ และวาระโอกาสต่าง ๆ ตราบใดที่องค์กรยึงยึดมั่นถือมั่นอยู่กับด้าน Hard Side ในแง่ผลลัพธ์ องค์กรจะได้ประโยชน์สูงสุด ได้ปริมาณงานมากจุใจในระบบทุนนิยม
แต่นั่นแลกมากับการสูญเสียพนักงานดี ๆ ที่ตั้งใจทำงาน อันต้องพลอยเจ็บปวดจากการทำงานที่ Toxic และมีสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้ วันหนึ่ง พวกเขาก็จะจากไป และมีคนใหม่เข้ามา วนเป็นลูปไปเช่นนี้ไม่รู้จบ หากผู้นำยังไม่เปลี่ยนทัศนคติ
แถมหัวหน้าที่บ้า Hard Side ขยันทำงานดึกดื่น และคาดหวังว่าลูกน้องต้องปฏิบัติตาม ฉันผู้ซึ่งพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว เชื่อไหมว่า ในระยะยาวสุขภาพจะเสีย ปวดหลัง ไมเกรน เกิดความเครียดสะสม จนกระทั่งเป็นโรคร้าย และแก่ตายไปอย่างไร้คนเหลียวแล มันส่งผลทะส้อนชิ่งหากันไปเช่นนี้
ขณะเดียวกัน Soft Side Management คือการบริหารจิตใจพนักงานเช่นมนุษย์คนหนึ่ง มีด้วยกันหลากหลายสูตร ทั้งแบบไทย แบบฝรั่ง แบบญี่ปุ่น ฯลฯ ผู้นำหรือองค์กรควรสังเกตและหาวิธีที่จะซื้อใจพนักงานให้ได้
ในต่างประเทศ ผู้นำหลายคนเข้าคอร์สปรับวิธีการพูดให้เข้าถึงใจพนักงาน วิธีปฏิบัติต่อพนักงาน ที่มากกว่าแค่สั่งงาน เพราะผลได้พิสูจน์แล้วว่า work performance ของพนักงานดีขึ้นจริงตามลำดับ พวกเขามั่นใจ กล้าพูด พร้อมรับฟัง สุขภาพจิตดีกันทั้งสายพาน
ดังคำที่ว่าในโลกการทำงานแค่เก่งยังไม่พอ ต้องทำให้คนรักด้วย !
ที่มา: จุฬาวิทยานุกรม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง