svasdssvasds

Work Life Integration งานและชีวิตส่วนตัวไม่สามารถแยกออกจากกันได้

Work Life Integration งานและชีวิตส่วนตัวไม่สามารถแยกออกจากกันได้

ชีวิตคนทำงานที่ไร้สมดุล องค์กรย่อมได้รับผลกระทบอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งคนทำงานมีสภาวะ Burn Out จำนวนมากเท่าไหร่ ย่อมส่งผลต่อเสียต่อองค์กรมากขึ้นเท่านั้น

เป็นที่รู้กันดีว่าทุกวันนี้คนทำงานทุกคนใช้ชีวิตในที่ทำงานมากกว่าอยู่บ้าน เห็นหน้าเพื่อนร่วมงานบ่อยกว่าเห็นหน้าพ่อ แม่และคนในครอบครัว หลายคนมีใจอยู่กับงาน คิดถึงเรื่องงาน แม้ว่าตัวจะอยู่นอกออฟฟิศแล้วก็ตาม ดูเหมือนชีวิตแบบนี้จะไม่สามารถแยกเรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวขาดออกจากกันได้ 

หลายคนอยู่ในสภาวะ Burn Out ไม่สามารถจัดการชีวิตได้อย่างลงตัว

ยิ่งเทคโนโลยีตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Work from Anywhere มากเท่าไหร่ ทุกคนสามารถทำงานที่ไหน เวลาใดก็ได้ ก็ยิ่งทำให้เส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวจางลงทุกที่ หลายคนอยู่ในสภาวะ Burn Out ไม่สามารถจัดการชีวิตได้อย่างลงตัว ทุกอย่างพัวพันนัวเนียกันไปหมดกลายเป็นเทรนด์ของวิถีชีวิตในยุคนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ได้ยินเสียงบ่นว่า “เดี๋ยวนี้ใช้ชีวิตยากขึ้นทุกวัน

ชีวิตคนทำงานที่ไร้สมดุล องค์กรย่อมได้รับผลกระทบอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งคนทำงานมีสภาวะ Burn Out จำนวนมากเท่าไหร่ ย่อมส่งผลต่อเสียต่อองค์กรมากขึ้นเท่านั้น  ทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่ว่าจะคุณภาพงาน ส่งงานช้า ทำงานผิดพลาด บริการลูกค้าได้ไม่ดี หรือถ้าเป็นมากก็เจ็บป่วย มาทำงานสาย รวมถึงอัตราการลาออกสูงขึ้นซึ่งเป็นต้นเหตุของค่าใช้จ่ายการรับสมัครและคัดเลือกคนทำงานใหม่ และค่าฝึกอบรมพนักงานตามมา

สภาวะ Burn Out เป็นเรื่องที่องค์กรและผู้บริหารควรให้ความใส่ใจ

สภาพการทำงานหนักที่เข้าสู่สภาวะ Burn Out ที่ว่ามาเป็นเรื่องที่องค์กรและผู้บริหารควรให้ความใส่ใจ ควรหมั่นสังเกตวัฒนธรรมการทำงาน สไตล์ผู้บริหารแต่ละแผนก แต่ละทีม ว่าส่งผลต่อการคุณภาพชีวิตของพนักงานในองค์กรอย่างไรบ้าง

วิธีสังเกตง่ายๆ ที่ช่วยให้เห็นความไม่ปกตินี้ ซึ่งหลายครั้งเราเห็นว่าเป็นเรื่องปกติเพราะอยู่ในสภาพการทำงานแบบนี้มาอย่างยาวนานจนคุ้นเคย คือ

  1. พนักงานส่วนใหญ่มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน เลิกงานดึกทั้งๆ ที่เข้างานเวลาปกติ
  2. ชั่วโมงการประชุมยาวนานและจำนวนมากซึ่งส่งผลให้ต้องเคลียร์งานที่ควรทำตอนกลางวัน ในช่วงเวลาหลังเลิกงาน
  3. ตัวคุณเองและทุกคนในทีมทำงานเสาร์ อาทิตย์ กันเป็นปกติไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่บ้าน
  4. ทุกคนโทรหาคนในทีมเพื่อตามงานเสมอจนเป็นเรื่องปกติ แม้ในวันหยุดพักร้อนของเพื่อนร่วมงาน 

การเอาใจใส่คุณภาพชีวิตพนักงาน ทำให้พนักงานทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ งานย่อมมีประสิทธิภาพ บริษัทได้รับการยอมรับและดึงดูดให้มีผู้สนใจอยากร่วมงานด้วย เป็นโอกาสให้สามารถคัดเลือกบุคลากรที่มีความสามารถเข้าร่วมงาน ทำให้บริษัทเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืน 

เรามาลองดูแนวทางที่ช่วยให้พนักงานสามารถบริหารชีวิตงานและชีวิตส่วนตัวได้ลงตัวมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกันดีกว่า

  • ลดชั่วโมง หรือจำกัดชั่วโมงการประชุม เพื่อให้พนักงานได้มีเวลาสะสางงานที่คั่งค้างในแต่ละวัน รวมถึงลดจำนวนวันเข้าออฟฟิศ
  • ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ บางบริษัทเพิ่มระยะเวลาการทำงานต่อวันให้สูงขึ้น ในขณะที่บางบริษัทกำหนดระยะเวลาการทำงานเท่าเดิม บริษัท Microsoft ประเทศญี่ปุ่นทำการทดลองลดการทำงานลงเหลือ 4 วันพบว่าประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นถึง 40%
  • ทำงานนอกออฟฟิศ (Remote Working) หรือเลือกที่จะมาทำงานที่ออฟฟิศหรือนอกออฟฟิศก็ได้  (Hybrid Working) ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าการทำงานแบบ Remote Working จะยิ่งทำให้ใช้ชีวิตและการทำงานแยกออกจากการไม่ออก ในเว็บไซต์ของนิตยสาร Forbes อ้างถึงงานวิจัยของ The Paper ว่าผู้บริหาร 47% อยากให้พนักงานกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ เพราะเชื่อว่าการทำงานแบบนี้ช่วยลดการแยกตัวทางสังคมได้ 

นอกจากนี้บ้านของพนักงานทุกคนใช่ว่าจะพร้อมสำหรับการเป็นที่ทำงาน และไม่ใช่ทุกงานที่จะอนุญาตให้ทำงานแบบ Remote Working หรือ Hybrid Working ได้  แนวคิดนี้จึงเป็นเรื่องของความเหมาะสมของลักษณะงานและความพร้อมของพนักงานซึ่งบริษัทที่ใช้นโนบายนี้อาจจะต้องสนับสนุนค่าใช้จ่าย Co-working Space หรือค่าไฟฟ้าในกรณีที่ไม่ได้แจ้งเรื่องสภาพการทำงานลักษณะนี้ให้พนักงานรู้ตั้งแต่ตอนจ้างงาน  

  • Flexi Hour หรือ Flexible Working Hour เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น ให้พนักงานสามารถเลือกเวลาเข้าทำงานและเลิกงานได้เหมาะสมกับภารกิจส่วนตัว เช่น หลายคนต้องไปรับส่งลูกที่โรงเรียน ตารางการเข้างานและเลิกงานอาจจะสอดคล้องกับตารางเรียนลูก ในขณะที่บางบริษัทอนุญาติให้พนักงานที่ทำงานออกแบบสามารถทำงานจากบ้านต่างจังหวัดเพื่อให้พนังงานได้ดูแลพ่อแม่ที่สูงวัยและเข้ามาประชุมในออฟฟิตตามวันและเวลาที่กำหนดไว้
  • ไม่คาดหวังให้พนักงานต้องตอบข้อความทุกข้อความทันทีนอกเวลางาน ไม่ว่าจะทาง E-mail หรือทาง Line วัฒนธรรมการทำงานของหลายประเทศในยุโรปไม่นิยมที่จะติดต่อเพื่อนร่วมงานหลังเลิกงาน แยกเรื่องเวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน ประเทศฝรั่งเศสถึงกับมีกฎหมายห้ามส่ง E-mail เกี่ยวกับงานนอกเวลาทำงานตั้งแต่ปี 2017
  • Job Sharing หรือ Work Sharing 1 ตำแหน่งทำมากกว่า 1 คน หรือเปลี่ยนการจ้างงานแบบ Full Time 1 คนมาเป็นจ้างงาน Part Time 2 คน เพื่อให้พนักงานสามารถมีเวลาใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ในเว็บไซต์ Time บอกว่าแนวคิด Job Sharing ช่วยให้ผู้หญิงที่มุ่งมั่นในงานสามารถดูแลครอบครัวไปด้วยพร้อมกัน ปัจจุบันบริษัทยูนิลีเวอร์มีพนักงานหญิง 2 คนในตำแหน่งผู้อำนวยการการตลาดอาวุโสทำงานในลักษณะนี้ ในขณะที่ปี 2022 บริษัทฟอร์ดได้เปิดตัวเครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานสามารถหาคนในองค์กรที่เหมาะสมกับการทำ Job Sharing กับตำแหน่งงานของตัวเอง

ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเพียงแนวคิดที่ถูกนำมาใช้ในหลายบริษัททั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ละองค์กรมีข้อจำกัดและลักษณะงานที่แตกต่างกัน การกำนหนดนโยบายจึงแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ “ความใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตของพนักงานและเพื่อนร่วมงาน” ต่อให้เราเป็นผู้บริหารระดับสูงก็ต้องไม่ลืมว่าเราก็เป็นพนักงานและคนทำงานด้วยเช่นกัน การสนับสนุน ผลักดันให้องค์กรมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ Work Life Integration สามารถหลอมรวมชีวิตงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัวจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและคุ้มค่า

เพชร ทิพย์สุวรรณ

อดีต Corporate HR ที่ชอบเม้ามอยเทคนิคและเคล็ดลับการทำงานผ่านตัวหนังสือ 

ปัจจุบันเป็นวิทยากรและที่ปรึกษาด้านการคัดเลือก พัฒนาบุคคลากรของ ALERT Learning and Consultant

บทความอื่นที่น่าสนใจ

related