Work Life Balance คือการบาลานซ์ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้สมดุลกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทำงานควรทำ คนเราสามารถให้ความสำคัญกับทุกอย่างได้ เพียงแต่ต้องรู้จักบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลกันทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิต
Working human หลายๆคนคงได้ยินคำว่า Work Life Balance กันมาแล้ว Work-Life Balance คือการบาลานซ์ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้สมดุลกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทำงานควรทำ ยังไงก็ตามถึงแม้ทุกคนจะมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ก็สามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่าสมดุลให้ชีวิตได้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางคนให้ความสำคัญกับงานเป็นหลัก บางคนแบ่งเวลามาเพื่อดูแลครอบครัว ในขณะที่บางคนก็ใช้เวลาเพื่อไล่ตามความฝัน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนเราสามารถให้ความสำคัญกับทุกอย่างได้ เพียงแต่ต้องรู้จักบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลกันทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิต
แต่ในการทำงานที่เราต้องแบ่งเวลาส่วนตัวและเวลาชีวิตออกจากกันได้ จะทำยังไงให้งานของเรายังมีประสิทธิภาพที่ดีได้เท่าเดิม บทความนี้จะมาแชร์ทริคเล็กๆ ที่จะทำให้งานของเรายังดีอยู่ ในขณะที่เราเองก็ยังมีชีวิตส่วนตัวไปด้วยพร้อมๆกัน ทำยังไงบ้าง มาลองอ่านกัน
หลายๆ คนที่มีชีวิตที่เรียกได้ว่าแทบจะสมบูรณ์แบบในการบริหารจัดการเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวได้ เอาจริงๆเป็นข้อที่สำคัญที่สุดเลย และเป็นสิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างแรกๆ นั่นก็คือการกำหนดขอบเขตเวลาที่ชัดเจน แจ้งให้ทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานทราบว่า การทำงานของฉันจะเป็นแบบนี้ ฉันจะทำงานแค่ในเวลางานเท่านั้น ฉันจะไม่หักโหมทำงานนอกเวลา ถ้างานนั้นมันไม่เร่งด่วนจริงๆ
บางทีขอบเขตเวลาการทำงานของเราก็อาจจะยืดหยุ่นได้บ้างแล้วแต่สถานการณ์ แต่เตือนตัวเองเสมอว่า เวลาพักผ่อนคือเวลาว่างของเรา งานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ลองนึกถึงคำพูดที่ว่า “งานยังไม่จบ แต่ชีวิตเราจบแน่” ถ้าเราไม่รู้จักลำดับความสำคัญของงานที่เราต้องทำ ไม่รู้จักเรียงลำดับความเร่งรีบของงาน ทำสะเปะสะปะ เห็นอันไหนก็ทำอันนั้น การทำงานอย่างไม่เป็นระบบแบบนี้ จะทำให้งานเราไม่เสร็จสักอย่าง และนั่นแหละ จะทำให้ชีวิตวุ่นวายเป็นปัญหาแน่
และที่สำคัญ เราต้องรู้ว่าตอนนี้มีงานกี่งานที่เราเองต้องรับผิดชอบอยู่ ถ้ามีใครสักคนมาขอให้เราช่วย หรือมอบหมายงานเราเพิ่ม(โดยที่ไม่จำเป็นนะ) ในขณะที่งานเราเองก็ล้นมือ การหัดพูดปฏิเสธก็เป็นสิ่งสำคัญ
ทุกวันนี้เทคโนโลยีนั้นมีการพัฒนาไปอย่างมาก การมีเทคโนโลยีเจ๋ง ๆ สักอัน ที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระงานของเราลงได้บ้างเป็นเรื่องที่ดี ยกตัวอย่างเช่น canva ที่มีเทมเพลต presentation สวย ๆ ไว้ให้เราได้เลือกใช้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งสไลด์แล้วเอาเวลาไปโฟกัสกับเนื้อหางานดีกว่า
แต่อย่าลืมว่าเทคโนโลยีก็เป็นเหมือนดาบสองคม การพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนเกินไปก็อาจเกิดผลเสียตามมาได้ ทางที่ดีใช้อย่างพอดีจะช่วยให้งานของเราก้าวหน้าได้มากกว่านะ
การตั้งเป้าหมายให้ไกลแล้วไปให้ถึงอาจจะเป็นคำที่หลายๆคนเคยได้ยิน แต่เป้าหมายที่ไกลและยิ่งใหญ่เกินไปจะทำให้เราเหนื่อยและหมดแรงก่อนรึเปล่า การตั้งเป้าหมายเล็กๆและไต่ไปทีละขั้น ทุกขั้นที่เราสำเร็จเราก็จะยิ่งมีกำลังใจทำต่อไป จนถึงเป้าหมายสูงสุด แถมยังไม่ต้องเหนื่อยและแบกภาระที่หนักเท่าเป้าหมายไกลๆก็ได้นะ
ในชีวิตการทำงาน ไม่มีใครหรอกที่จะเป็นเสาเดี่ยว สามารถแบกรับงานทั้งหมดได้คนเดียว ไม่วันใดก็วันหนึ่งเสาที่แบกงานไว้เยอะๆก็จะพังลงมาได้ การที่มีเพื่อนร่วมงานจะช่วยแบ่งเบาภาระงาน ทำให้งานยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้น พูดคุยกับเพื่อน ๆ แลกเปลี่ยนความคิดกันว่าอยากให้งานออกมาในรูปแบบไหน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานด้วย เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
หลังจบงานที่เหน็ดเหนื่อย การที่เราได้กลับไปพัก เติมแรงกายแรงใจก็เป็นเรื่องที่ดี แต่การที่ได้มีคนรอบข้างให้กำลังใจอยู่เสมอ ยิ่งเป็นสิ่งที่จะเติมแรงใจได้ดีขึ้น การมีเพื่อน ครอบครัว คนรัก หรืออาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เรารัก จะช่วยแบ่งเบาภาระใจที่หนักอึ้งได้ การมีคนรับฟังสิ่งที่เราระบาย รับฟังความเครียดของเราบ้าง และเมื่อประสบความสำเร็จก็มีคนรอบข้างที่ให้กำลังใจเสมอ เป็นอีกตัวช่วยที่ทำให้หน้าที่การงานเราไปได้ดี แรงใจพร้อม แรงกายก็พร้อม
ถ้าหาสมดุลระหว่างชีวิตกับงานได้แล้ว อย่าลืมว่าการงานของเราต้องไม่ตกลงไปด้วย วิธีเหล่านี้จะทำให้งานของคุณยังเจ๋งไป ไปพร้อมกับชีวิตที่เจ๋งที่ปัง งานดี ชีวิตก็ดี ใครๆก็ต่างอยากมีชีวิตแบบนี้ แต่อย่ากดดันตัวเองจนมากเกินไปนะ
อ้างอิงบทความ
บทความที่เกี่ยวข้อง