SHORT CUT
จากยุค 90s สู่ T-Pop กับการก้าวกระโดดของวงการเพลงไทยบนเวทีโลก เกิดอะไรขึ้นกับวงการเพลง อะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มาร่วมถอดรหัสความสำเร็จและการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กัน
หากย้อนเข็มนาฬิกากลับไปเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว คงต้องบอกว่า วงการเพลงไทยเป็นอีกหนึ่งวงการเพลงที่ได้รับการจับตามองจากทั่วทวีปเอเชีย และช่วงเวลาใน ยุค 90s คืออีกหนึ่งยุคทองของเพลงไทย ในช่วงเวลานั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดศิลปินที่มีพรสวรรค์มากมายจนนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่น่าจดจำของวงการเพลงป๊อปไทย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ช่วงเวลานั้น ศิลปินไทยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศยังมีจำนวนไม่มากเท่าไรนัก ซึ่งถือว่าแตกต่างและตรงกันข้ามกับจากยุคปัจจุบันที่โลกของดนตรีเปิดกว้างและไร้พรมแดน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะโลกออนไลน์และอินเตอร์เน็ตที่ทำให้ศิลปะและงานสร้างสรรค์จากทุกๆประเทศใกล้ชิดกันมากขึ้น
ในช่วงวันเวลาที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า สำหรับวงการเพลงมีการเปิดรับแนวเพลงใหม่ ๆ เข้ามา ส่งส่งผลทำให้เกิดการเรียนรู้และนำมาต่อยอดสู่การพัฒนาแนวเพลงให้มีเอกลักษณ์และมีความน่าสนใจมากขึ้น
จนมาถึงในยุคของวงการ Thai Pop หรือ T-Pop ซึ่งเป็นความสำเร็จ อีกขั้นของวงการเพลงไทยที่กำลังจะเติบโตและก้าวไปสู่เวทีโลก บทความนี้จะพาย้อนรอยเส้นทางของวงการเพลงไทย จากยุค 90s สู่การพลิกโฉมประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเพลงไทย พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของ โครงการ Music Exchange ที่เป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างศิลปินไทยกับโอกาสในเวทีดนตรีระดับนานาชาติ
หากใครที่เติบโตมากับบทเพลงไทยในยุค 90s หากความทรงจำไม่ลางเลือนจนเกินไป ก็คงพอจะจำได้ถึงความสำเร็จของศิลปิน อาทิ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ที่สร้างปรากฏการณ์เพลงครองใจผู้ฟังทั่วประเทศ และมียอดขายล้านตลับหลายต่อหลายชุด หรือ อมิตา ทาทา ยัง ที่ได้รับฉายา "สาวน้อยมหัศจรรย์" จากความสามารถในการทำยอดขายอัลบั้มถึงหลักล้านชุดภายในเวลาเพียง 5 เดือน แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศ
แต่ทว่า การเติบโตสู่ระดับนานาชาติในยุคนั้นเต็มไปด้วยความยากเนื่องจากข้อจำกัดในหลายๆด้าน อาทิ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันวงการเพลงไทยได้เข้าสู่ยุคใหม่แล้ว หรือที่คนทั่วไป ขนานนามกันว่า นี่คือ ยุค T-Pop ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ การสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นจากหน่วยงานภาครัฐที่เห็นความสำคัญและโอกาสของอุตสาหกรรมดนตรีไทย
จึงได้จุดประกายและริเริ่มโครงการและนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมวงการเพลงไทยสู่ตลาดโลก และการเปิดกว้างของเวทีระดับนานาชาติสำหรับศิลปินไทย
นอกจากนี้ ค่ายเพลงและผู้ผลิตเริ่มมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาศิลปินที่มุ่งเน้นทั้งตลาดในและต่างประเทศ
ในทางกลับกัน เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ ณ ปัจจุบัน ก็เป็นกุญแจคีย์สำคัญที่ช่วยให้ศิลปินสามารถเข้าถึงแฟนเพลงทั่วโลกได้ง่ายขึ้นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงและโซเชียลมีเดีย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ สำหรับศิลปินไทยในการก้าวสู่เวทีระดับโลก ส่งผลให้เกิดความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัวอย่างที่โดดเด่น คือ MILLI แรปเปอร์หญิงศิลปินเดี่ยวชาวไทยคนแรกที่ได้แสดงในเทศกาลดนตรีระดับโลกอย่างโคเชลลา (Coachella) ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งภาพตัวอย่างที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเป็นอย่างมาก
โครงการ Music Exchange เป็นอีกหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันศิลปินไทยสู่เวทีระดับโลก ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ CEA ร่วมกับคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี โครงการนี้ไม่เพียงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมดนตรีเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ศิลปินไทยได้ร่วมงานกับศิลปินและโปรดิวเซอร์ระดับนานาชาติ และสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมเพลงระดับโลก ซึ่งความสำเร็จของโครงการนี้เห็นได้จากการส่งศิลปินไทยไปร่วมแสดงในงานสำคัญในต่างประเทศมากมาย รวมจำนวนทั้งสิ้น 48 ศิลปิน/วง ทั้งหมด 46 เทศกาล ประกอบด้วยเทศกาลดนตรีระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นงานแสดงดนตรีที่มุ่งเป้าเพื่อการค้าและผู้ชมเป็นหลัก ( Music Festival) และงานแสดงดนตรีที่มุ่งเป้าด้านโอกาสทางธุรกิจระหว่างค่ายเพลง/ศิลปิน/ผู้จัดเทศกาล (Music Conference/Showcase Festival) เช่น เทศกาล 2024 Vagabond Festival ไต้หวัน, เทศกาล JAM JAM ASIA ไต้หวัน, เทศกาล Offside Festival 2024 ประเทศจีน, เทศกาล HOI MUSIC FESTIVAL ประเทศเวียดนาม, เทศกาล Hypefest Hong Kong 2024 ฮ่องกง, เทศกาล Minami Wheel 2024 ประเทศญี่ปุ่น, เทศกาล Nakasu Jazz ประเทศญี่ปุ่น, เทศกาล Ringo Music Festival 2024 ประเทศญี่ปุ่น, เทศกาล Asia Song Festival ประเทศเกาหลีใต้, AXEAN Festival 2024 ประเทศอินโดนีเซีย, เทศกาล SXSW Sydney 2024 ประเทศออสเตรเลีย, เทศกาล Parramatta Lanes ประเทศออสเตรเลีย, เทศกาล Outbreak Winter Fest สหราชอาณาจักร ฯลฯ นอกจากนี้ CEA ยังให้การสนับสนุนศิลปินไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแสดงผลงานเพลงในงานเทศกาลไทย (Thai Festival) โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้แก่ เทศกาลไทย ณ กรุงปักกิ่ง (Thai Festival in Beijing 2024) เทศกาลไทย ณ กรุงมอสโก (Thai Festival in Moscow 2024) และเทศกาลไทย ณ กรุงโซล ครั้งที่ 9 สวัสดีโซล ไทยเฟสติวัล 2024: ทีป๊อปสตอรี่ (Sawasdee Seoul Thai Festival 2024: T-Pop Story)
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังมีกิจกรรมจับคู่ธุรกิจและสร้างเครือข่ายของผู้จัด ผู้คัดเลือกศิลปิน และเอเจนซี่ ระหว่างเทศกาลดนตรีในประเทศเป้าหมายมายังเทศกาลดนตรีในประเทศไทย ได้แก่ T-POP (Mart) Concert Fest 3, Monster Music Festival 2024, CAT Expo 11, Big Mountain Music Festival 14 และ Longlay Beach Life Music Festival 2024 การสร้างความสัมพันธ์และเปิดมุมมองใหม่นี้ช่วยให้ผู้จัดเทศกาลดนตรีจากต่างประเทศได้ค้นพบศิลปินไทยหน้าใหม่ และเข้าใจวัฒนธรรมดนตรีไทยอย่างลึกซึ้ง ตลอดจนส่งผลให้ศิลปินไทยได้รับโอกาสรับเชิญไปร่วมแสดงในเวทีระดับโลกมากยิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงจากยุค 90s สู่ยุค T-Pop ถือเป็นกระจกสะท้อนถึงพัฒนาการอันรวดเร็วของวงการเพลงไทย จากการมุ่งเน้นตลาดภายในประเทศ สู่การสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จนี้ประกอบด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ การผลักดันให้ศิลปินไทยได้แสดงบนเวทีระดับนานาชาติก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ในขณะเดียวกัน การสร้างเครือข่ายและเปิดโอกาสให้ผู้จัดเทศกาลดนตรีจากต่างประเทศได้สัมผัสประสบการณ์ดนตรีในประเทศไทย ก็เป็นอีกกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงวงการเพลงไทยกับตลาดโลก
ด้วยเหตุนี้ โครงการ Music Exchange จึงถือเป็นตัวอย่างของความพยายามในการยกระดับอุตสาหกรรมดนตรีไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างศิลปินไทยกับโอกาสในเวทีดนตรีระดับนานาชาติ ซึ่งไม่เพียงแต่เปิดประตูสู่ความสำเร็จให้กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจและกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมดนตรีไทยในภาพรวมอีกด้วย
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวล่าสุดและโอกาสในการสนับสนุนวงการดนตรีของไทย รวมถึงรายละเอียดโครงการ Music Exchange ได้ที่เว็บไซต์ www.cea.or.th และ https://www.facebook.com/CreativeEconomyAgency