รีวิวหนัง Sinners (2025) เมื่อแวมไพร์คนขาว ไล่กัดอิสรภาพคนดำ
Sinners (2025) เป็นภาพยนตร์สยองขวัญเหนือธรรมชาติจากผู้กำกับ ไรอัน คูเกลอร์ เล่าเรื่องราวในอเมริกาช่วงทศวรรษ 1930s เมื่อแวมไพร์ออกอาละวาด โดยมีเป้าหมายเป็นคนดำ
หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์จำพวกมีผีไล่กระซวกไส้ กัดกินดูดเลือดเนื้อผู้คน Sinners (2025) คืองานที่ “น่าสนใจ” ที่คุณไม่ควรพลาด
นี่คือผลงานการกำกับ-เขียนบทชิ้นล่าสุดของ "ไรอัน คูเกลอร์” (Ryan Coogler) ผู้กำกับชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ฝากผลงานไว้ใน Creed (2015), Black Panther (2020) และ Wakanda Forever (2022)
อธิบายอย่างรวบรัด Sinners คือภาพยนตร์สยองขวัญเหนือธรรมชาติ สะท้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนดำในอเมริกาช่วงปี 1930s ไรอัน คูเกลอร์ พาพวกเราติดตามชีวิตของคู่แฝด (นรก) “Smoke” และ “Stack” รับบทโดย ไมเคิล บี. จอร์แดน คนพี่ (Smoke) มีหัวเรื่องธุรกิจ เขากลับมาที่รัฐมิสซิสซิปปี้ เพื่อเปิดผับสำหรับคนดำ โดยมีน้อง (Stack) คอยระริกระรี้อยู่ใกล้ ๆ
และเมื่อตะวันดิ่งลับฟ้า ผับคนดำของสองพี่น้องก็ต้อนรับคนดำในไร่ฝ้ายเข้ามาโยกย้ายส่ายสะเอวไปกับเพลงบลูส์ โดยมีนักร้องหลักเป็น “แซมมี่” ลูกนักเทศก์ในโบสก์คริสเตียน รับบทโดย “ไมล์ เคตัน” และนี่คือเรื่องราวการต่อสู้ของคนดำก่อนรุ่งอรุณจะมาถึง
*บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์
Smoke & Stack สองฝาแฝดหัวขบถ คนดำนอกไร่ฝ้าย
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วง ปี 1930s พี่น้องฝาแฝด Smoke และ Stack หลังจากไปฝึกวิชาชีวิตที่รัฐชาคาโก หวนคืนสู่ “คลาร์กส์เดล” (Clarksdale) รัฐมิสซิสซิปปี ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา กลับมาครั้งนี้มุ่งหวังจะทำธุรกิจเปิดบาร์เพื่อคนดำ
การแสดงของไมเคิล บี. จอร์แดน ทำให้เราไม่ติดขัดว่าใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง Smoke (คนพี่) ดุดัน ทันคน ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ มีหัวเรื่องธุรกิจ ส่วน Stack (คนน้อง) เป็นคนกะล่อน เป็นไม้อ่อน รู้วิธีพูดเพื่อปลอบประโลมคน
“เงินพวกนี้มันใช้ได้แค่ในไร่ฝ้าย กูต้องการเงินดอลลาร์เท่านั้น” Smoke กล่าว
ทันใดนั้น Stack สวนไปว่า “เฮ้...มึงก็รู้ พวกเขาส่วนใหญ่ทำงานในไร่ฝ้าย ให้พวกเขาสนุกกันเถอะ”
ทศวรรษ 1930s ในรัฐมิสซิสซิปปี ถือเป็นแหล่งอาศัยหลักของคนดำ คนดำส่วนใหญ่ทำงานในไร่ฝ้าย แม้ไม่มีการค้าทาสแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสีผิว “ขาว” กับ “ดำ” ยังไม่เท่าเทียมกัน คนขาวเกลียดชังคนดำชนิดแค่เหยียบเท้าก็เสี่ยงถูกยิงเสียชีวิต
เราจะเห็นว่า Smoke และ Stack ไม่ใช่คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน และยอมถูกเอารัดเอาเปรียบ เป็นคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการกดขี่ หาญกล้าคิดทำธุรกิจ กล้าคิดใหญ่ฝันใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องยากในอดีตกาล
สะท้อนผ่านฉากที่ Smoke จ้างเด็กผู้หญิงคนขาวให้เป็นคนเฝ้ารถบรรทุกของเขา เหรียญกลับฝั่ง คนดำก็มีสิทธิรุ่มรวย ดื่มด่ำกับอำนาจเงินเช่นคนขาวเหมือนกัน ! แต่ท้ายที่สุด สองพี่น้องก็เป็นอันต้องบรรลัยเพราะคนขาว ซึ่งจะเล่าในลำดับถัดไป
ร่องรอยความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลือในดนตรี Blues
"คนขาวชอบฟังเพลงบลูส์ ส่วนคนเล่นเพลงบลูส์น่ะไม่ค่อยชอบ”
หากนึกถึงเพลงบลูส์ คุณนึกถึงศิลปินแค่ไหน เธอ/เขาเป็นคนขาวหรือคนดำ ? หลังจากที่สองพี่น้อง Smoke และ Stack ถือกระเป๋าไปซื้อโรงนาจากคนขาวเพื่อจะมารีโนเวตเป็นบาร์ ทั้งสองก็ไปรับตัว “แซมมี่” เด็กผิวดำผู้มีฝันอยากจะเป็นศิลปินเพลงบลูส์ มาเป็นลูกมือ
เมื่อดนตรีบลูส์บรรเลง พื้นบาร์ก็สะท้านหวั่นไหว เท้าหลายสิบคู่กระทืบไปตามจังหวะอย่างเมามันส์ บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานและสันติ กระทั่งแวมไพร์คนขาว 3 คนเดินตามเสียงเจ้าหนูแซมมี่ที่บาร์ หนึ่งนั้นพูดว่าชอบเพลงบลูส์ของแซมมี่ชนิดหลงใหล
ไรอัน คูเกลอร์ ให้สัมภาษณ์ถึงความสำคัญในการเลือกหยิบดนตรีบลูส์มาใช้ในภาพยนตร์ว่า “ทุกครั้งที่คิดถึงลุง ผมจะฟังเพลงบลูส์ ผมชอบคิดว่าทุกครั้งที่เขาฟังเพลงบลูส์ เขากำลังคิดถึงใคร เขากำลังร่ายคาถาใส่ใครหรือเปล่า”
ดนตรีบลูส์นั้นว่ากันว่าเป็นดนตรีพื้นบ้านของคนดำจากอเมริกาทางตอนใต้ ซึ่งถูกขนข้ามทะเลมาเพื่อใช้แรงงานทาส อาทิ งานฝีมือ ปลูกฝ้าย รับใช้ตามบ้าน เป็นต้น กระทั่งมีการประกาศการเลิกทาส แต่กลุ่มทุนผู้เสียประโยชน์ไม่ยอม จึงประท้วงกันจนเกิดสงครามกลางเมือง แต่ในปี 1865 ก็ต้องพ่ายไปในที่สุด
จุดสำคัญก็คือ ความเจ็บปวดจากการใช้แรงงานทาส การเหยียดผิว การถูกคนขาวปฏิบัติเช่นสัตว์ ยังคงฝึกในจิตสำนึก คนดำได้ถ่ายทอดความเจ็บปวดเหล่านั้นผ่านออกมาเป็นดนตรีบลูส์ ช่วงแรก ๆ ดนตรีบลูส์จึงยังเต็มไปด้วยความเศร้าและเนื้อหานุ่มลึกถึงจิตวิญญาณ
จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ดนตรีบลูส์ก็ได้รับความนิยม (ข้างถนน) มีคนดำในรัฐทางเหนือ ตอนกลาง เริ่มร้องเล่นเพลงบลูส์กันแพร่หลายขึ้น กระทั่งถูกส่งออกไปยังอังกฤษ เกิดเป็นความรู้สึกใหม่ มีจังหวะสนุกสนาน หรือแม้แต่ก่อให้เกิดดนตรีร็อคแอนด์โรล
แต่ถึงอย่างนั้น ไรอัน คูเกลอร์ ก็แอบใส่ความขบถไว้เล็กน้อยในพาร์ทของบลูส์ เมื่อตัวละครชื่อ “สลิม” มือเปียร์โนประจำบาร์ พ่นคำพูดชวนถกเถียง ปากเหม็นกลิ่นเหล้าว่า “บลูส์ไม่ได้ยัดหัวเราเหมือนกับศาสนา มันอยู่กับเราตั้งแต่เกิด”
หนังยังโชว์ให้เห็นในซีนหนึ่ง เป็นซีนคนดำร้องเต้นรำเพลงบลูส์กันอย่างเมามันส์ บรรยากาศเหมือนซีนปาร์ตี้ในหนังเรื่อง Babylon (2022) แต่ความแฟนตาซีคือคุณจะเห็นคนดำเต้นเพลงฮิปฮอป คนดำร่ายคาถา คนดำร้องเพลงแร็ป คนดำร้องเพลง R&B ดนตรีของคนดำเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
การกลับมาของแวมไพร์ ที่แสนจะร่วมสมัย
ความเชื่อเรื่องแวมไพร์ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ไรอัน คูเกลอร์ หยิบตัวละครในประวัติศาสตร์มาใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ ในเรื่องเราจะเห็นว่าแวมไพร์ที่เป็น “หัวเชื้อ” ไล่กัดคนดำจนกลายมาเป็นแวมไพร์ตาม ๆ กัน เป็น “คนขาว”
กล่าวคือแวมไพร์เสมือนเป็นตัวสร้างปัญหา รุกราน เป็นต้นกำเนิดแห่งการฆ่าล้าง ซึ่งจุดนี้ค่อนข้างกระทบใจคนขาวบางกลุ่มพอสมควร โดยให้เห็ตผลว่าผู้กำกับมีธงอยู่ในใจ ทั้งยังเลือกคำตอบให้กับผู้ชมแล้ว ซึ่งก็น่าถกเถียงกันต่อไปว่างานศิลปะอย่างภาพยนตร์ ควรหรือมิควรที่จะฝากฝังแนวคิดจากฝ่ายเดียว หรือที่แท้แค่รับไม่ได้กับกระทำของเผ่าพันธุ์ตัวเองในอดีตกาล
เรื่องความเชื่อก็สำคัญ ทั้งยังชวนหัว แวมไพร์ของไรอัน คูเกลอร์ กลัวกระเทียม ไม่สามารถเข้าสถานที่ใดได้ หากคนในบ้านไม่เชื้อเชิญเข้าไป เช่นในเรื่องที่ชาวเอเชียคนหนึ่ง เริ่มตะบะแตกและพูดว่า “เก่งนัก พวกมึงก็เข้ามา” แถมยังมีเขียวสองข้าง และสามารถติดกันได้ผ่านน้ำลาย ใครชอบหนังซอมบี้ไล่กัดกันชื่นชอบแน่ และที่สำคัญห้ามโดนแดด !
ตัดไปที่ Stack (แฝดผู้น้อง) เขาถูกแม่สาวคนขาวอดีตชู้รักกัดคอระหว่างกำลังมีเซ็กส์ และกลายเป็นแวมไพร์คนดำ (สุดแสนจะเท่) ผู้เขียนคิดว่าบทพูดของ Stack นั้น “น่าคิด” สองหน่อพี่น้องต่อสู้เพื่อหลุดพ้นจากชีวิตแร้นแค้น ทั้งฆ่าพ่อ เข้าไปทำงานที่ชิคาโก โดย Smoke (แฝดผู้พี่) เป็นฝ่ายดูแลเสียเป็นส่วนใหญ่
เมื่อ Stack กลายเป็นแวมไพร์ไปแล้ว เหลือ Smoke เพียงคนเดียว คนน้องพูดกับพี่ชายว่า “อิสรภาพที่เราตามหามันไม่มีอยู่จริง นี่สิของจริง เราต่อสู้ดิ้นรนกันมานาน แกก็เห็นแล้วว่ามันไม่มีอยู่จริง” คล้ายจะเปรียบว่าให้ยอมจำนนแด่คนขาวเสีย พี่น้องเรา (คนดำ) ที่กัดฟันสู้มานานเจ็บปวด ล้มหายไปไม่รู้เท่าไร ยอมเสียเถอะ แต่ Smoke ยอมไหม ไปดูกันเอา
“ที่นี่มันไม่ใช่บาร์ มันเป็นโรงฆ่าสัตว์”
เมื่อรุ่งอรุณมาถึง แวมไพร์ทุกตัวปลิดปลิวไปพร้อมแสงอาทิตย์ สิ้นสลายไร้วิญญาณ ปัญหาที่คนขาวก่อไว้สิ้นสลายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม้เด็ดยังไม่หมดเท่านี้ คุณต้องเข้าไปหาคำตอบเองว่ามีใครรอดบ้าง ทำไมถึงรอด และแวมไพร์โดนแดดแล้วตายจริงหรือ ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
