SHORT CUT
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย ข้าวคาร์บอนต่ำไทย! ปล่อยคาร์บอนฯสูงเบอร์2 มากกว่าเวียดนาม 1.5 เท่า สาเหตุ คือวางเป้าหมายไม่ชัดเจน ผลิตได้เพียง 4 ล้านตัน/ปี ผลผลิตต่อไร่ต่ำ
นาทีนี้ทั่วโลกต้องการสินค้าเกษตรปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแดล้อม ประเทศไหนผลิตสินค้าเหล่านี้ได้มากกว่ากันก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งออก ส่วนภาคเกษตรไทยจะถูกบีบมากขึ้นจากเทรนด์โลกที่ส่งสัญญาณเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากไทยยังไม่ยกระดับไปสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ ด้วยแรงกดดันของโลกใน 2 ด้านหลักคือ ด้านอุปทาน
จากการที่หลายประเทศได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่รวมถึงภาคเกษตร และเกณฑ์การค้าด้านสิ่งแวดล้อมโลกที่เข้มข้นโดยเฉพาะในสหภาพยุโรป (EU) ที่ระยะข้างหน้าอาจมีการนับรวมภาคเกษตรไว้ในระบบการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ EU จนนำไปสู่กติกาการค้าสินค้าเกษตรกับ EU ที่เข้มงวดขึ้น
ส่วนด้านอุปสงค์ ด้วยกระแสผู้บริโภคสีเขียวใน EU ที่มาแรงพร้อมกับการตระหนักถึงการมีฉลากสะอาดรับรอง ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันให้ไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรต้องเร่งปรับตัวสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ เนื่องจากไทยก็มีการส่งออกสินค้าเกษตรไป EU ด้วย
โดยเฉพาะเรื่องของข้าวคาร์บอนต่ำที่ไทยต้องเร่งสปีดอย่างเร่งให้ทันคู่แข่ง โดยเฉพาะเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันอย่างเวียดนาม ล่าสุดมีข้อมูลที่น่าสนใจจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยยังตามหลังเวียดนาม โดยไทยเริ่มต้นด้วยพื้นที่ปลูกที่น้อยกว่าเวียดนามไม่มากนักราว 0.55 ล้านไร่ แต่ด้วยผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำของไทยและการที่ไทยยังไม่มีเป้าหมายชัดเจนมากนักในเรื่องข้าวคาร์บอนต่ำ ทำให้แม้ไทยจะพยายามขยายพื้นที่ปลูกไปในเขตชลประทานที่เหมาะสมมากขึ้น แต่ก็ยังทำให้ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยทำได้เพียง 4 ล้านตัน
ขณะที่เวียดนามมีเป้าหมายชัดเจนในปี 2030 ที่จะมีพื้นที่ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำให้ได้ 6.25 ล้านไร่ จากการสนับสนุนของภาครัฐอย่างจริงจัง ผนวกกับผลผลิตต่อไร่ที่สูงกว่าไทยเกือบ 2 เท่า ทำให้เวียดนามมีศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำได้มากกว่าไทยถึง 1.6 เท่า หรืออยู่ที่ 6.3 ล้านตัน (รูปที่ 4)
อย่างไรก็ตามแม้ข้าวคาร์บอนต่ำจะเป็นเทรนด์โลกระยะยาว แต่ไทยยังคงทำได้ไม่ดี ด้วยข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะเรื่องระบบชลประทานที่ไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวในเขตชลประทานเพียง 20% นอกจากนี้ เงินลงทุนเริ่มต้นที่สูงเพื่อปรับไปเป็นแปลงนาข้าวคาร์บอนต่ำ เช่น การปรับหน้าดิน การจัดการระบบน้ำ เป็นต้น ประกอบกับเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพียงรายย่อยที่ไม่มีเงินทุนเพียงพอ ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตข้าวคาร์บอนต่ำของไทยจะต้องใช้เวลาและคงไม่ง่ายนัก
พามาดูการส่งออกข้าวคาร์บอนต่ำของไทยไป EU จะเป็นอย่างไร?
โดยไทยจะสามารถประคองการส่งออกข้าวไป EU ได้ระยะข้างหน้าจากผลผลิตข้าวคาร์บอนต่ำที่มีเพียงพอ แต่ต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม โดยเดิมข้าวไทยก็แข่งขันกับเวียดนามยากอยู่แล้ว สะท้อนจากปี 2019-2023 ปริมาณส่งออกข้าวไทยไป EU ลดลงเหลือ 0.24 ล้านตันจากปี 2014-2018 ที่ 0.27 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 0.074 ล้านตันจาก 0.067 ล้านตัน ตามลำดับ
ทั้งนี้หากยิ่งไปข้างหน้า EU มีการบังคับใช้เกณฑ์ค้าข้าวคาร์บอนต่ำ ซึ่งไทยก็คงประคองปริมาณส่งออกไปได้จากผลผลิตข้าวคาร์บอนต่ำที่มีเพียงพอ แต่ไทยจะต้องแข่งขันด้านราคากับเวียดนามที่ได้เปรียบไทย โดยปี 2019-2024 ราคาข้าวหอมมะลิไทยเฉลี่ยที่ 964 ดอลลาร์ฯต่อตัน ขณะที่ข้าวหอมเวียดนามเฉลี่ยที่ 521 ดอลลาร์ฯต่อตัน จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าส่งออกข้าวไทยไป EU ให้ลดลงได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง