svasdssvasds

เปิดโมเดลอนุรักษ์น้ำ ช่วยแก้ปัญหาน้ำเสีย พร้อมเพิ่มมูลค่าให้กับผักตบชวา

เปิดโมเดลอนุรักษ์น้ำ ช่วยแก้ปัญหาน้ำเสีย พร้อมเพิ่มมูลค่าให้กับผักตบชวา

ปัญหา 'แหล่งน้ำในชุมชน' จะยังไม่หายไป หากยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จากทั้งทางฝั่งของภาครัฐ หรือเอกชนเองก็ตาม จะปัดความรับผิดชอบคนในชุมชนไปจัดการปัญหามลพิษทางน้ำเพียงลำพังก็คงไม่ได้ เพราะพื้นที่บางแห่งยังขาดแคลนต้นทุนหลายด้านในการอนุรักษ์ 'แหล่งน้ำ'

มีคำกล่าวที่ว่า ‘น้ำ’ คือบ่อเกิดของชีวิต

แต่หากเราออกจากโลกปรัมปราแล้วมองที่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จะพบว่าแหล่งน้ำในปัจจุบัน มีหลายสัดหลายส่วนที่ถูกละเลย แถมไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี

ส่งผลให้แหล่งน้ำในชุมชนหลายพื้นที่ กลายเป็นแหล่งสะสมมลพิษ และสร้างความขุ่นมั่วให้กับคนในชุมชนฝังรากลงไปในระดับวิถีชีวิต จากคำกล่าวที่คมคาย ทุกวันนี้อาจกลายเป็น ‘น้ำที่ทำลายชีวิต’ ไปเสียแล้ว

แหล่งน้ำเน่าเสียในชุมชน Cr. Flickr แหล่งน้ำเน่าเสียในชุมชน Cr. Flickr

แหล่งน้ำเน่าเสียในชุมชน Cr. Flickr แหล่งน้ำเน่าเสียในชุมชน Cr. Flickr

ผู้คนในชุมชนที่อาศัยและพักพิงอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ จากที่เมื่อก่อนแม่น้ำลำคลองใสสะอาด มีเรือมากมายหลายชนิด แล่นปรี่อยู่บนน่านน้ำ ส่งเสียงเรียกจนใบหูกระดิก ทว่าตอนนี้ แหล่งน้ำเหล่านั้น กลับกลายเป็นทางเลือกใหม่ในการเทขยะทิ้งไปเสียได้

มาร่วมแชร์กันหน่อยว่า เคยเจอขยะประเภทใดบ้างในแม่น้ำลำคลองแถว ๆ บ้าน?

ตัดกลับมาในปัจจุบัน มีหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ต้องสูญเสียแหล่งน้ำในชุมชนไปอย่างไร้ประโยชน์ และแม้อยากจะคืนชีพให้กับหัวใจของชุมชนแค่ไหน แต่ก็ยังไม่มีปัจจัย หรือแรงส่งที่มากพอที่จะทำให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งน้ำ

อันเนื่องมาจากขาดความตระหนักรู้ วิธีปฏิบัติ การสานต่อแนวทางการอนุรักษ์ เรื่อยไปจนถึงบริบทของชีวิตปัจจุบัน ที่ผลักเราให้ห่างไกลออกจากแม่น้ำลำคลองออกไปเรื่อย ๆ 

บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ ไม่สามารถพักพิงอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำได้ กระทั่งคนในชุมชน ที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำต้องพบเจอกับสารพัดเรื่องปวดหัวที่เกิดจากปัญหาน้ำเสียในชุมชนอาทิ ส่งกลิ่นเหม็น และไม่สามารถนำมาใช้สอยได้

หากเรามาสืบทราบถึงต้นตอที่ทำให้เกิดมลพิษในแหล่งน้ำแล้ว จะพบว่า หลัก ๆ เกิดจาก 3 แหล่งหลักดังนี้

  • Domestic Wastewater หรือ แหล่งน้ำเสียที่เกิดจากชุมชน

หากเราลงไปสำรวจในแม่น้ำลำคลอง และดูว่าภายใต้น้ำเน่าเสียนั้น มีวัตถุอะไรนอนแช่อยู่ข้างใต้นั้นบ้าง เราอาจจะพบกล่องนม ขวดพลาสติก ถุงขนม เศษอาหาร ซากสัตว์ที่ตายแล้ว ที่นอน หมอน มุ้ง ทีวี หรือแม้กระทั่งตู้เย็น ก็ล้วนถูกพบในแม่น้ำลำคลองได้ทั้งนั้น

ขยะหลากหลายประเภทในแหล่งน้ำ Cr. Flickr ขยะหลากหลายประเภทในแหล่งน้ำ Cr. Flickr

เมื่อมีขยะมากมายหลายชนิดบริเวณแหล่งน้ำ แล้วไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง จากแม่น้ำใสก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมมลพิษทันที สัตว์น้ำที่เคยอาศัยอยู่ก็จะอพยพไปแหล่งอื่น หรือไม่ก็ตายเพราะทนค่ามลพิษของแหล่งน้ำไม่ไหว

นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงเรื่องกลิ่นอีกด้วย ประชาชนผู้อาศัยอยู่บริเวณใกล้แหล่งน้ำจำต้องสูดดมกลิ่นน้ำเน่าเหม็น ครั้นจะนั่งใช้เวลาจิบชาปล่อยกายใจให้ท่องไปกับสายลม กลับได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาดับจินตนาการหดหายไปหมด

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนในแต่ละแห่ง ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มจุดไข่ปลาของปัญหามลพิษทางน้ำด้วยเช่นกันอาทิ การทิ้งเศษอาหาร ร้านค้าที่เทน้ำทิ้งที่มีคราบไขมัน น้ำทิ้งจากการซักผ้า หรือล้างจาน เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำทั้งสิ้น

  • Industrial Wastewater หรือ แหล่งน้ำเสียที่เกิดจากภาคอุตสาหกรรม

อีกหนึ่งแหล่งสำคัญที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำคือ ภาคอุตสาหกรรมเช่น โรงงานต่าง ๆ อาทิ โรงงานน้ำตาล โรงงานน้ำปลา โรงงานกระดาษ โรงงานอาหารกระป๋อง โรงงานผลิตสี หรือบางแหล่งอาจมีการทำเหมืองแร่

กระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ท้ายที่สุดจะปล่อยสารอินทรีย์ลงสู่แหล่งน้ำในชุมชน ซึ่งไม่ต้องอธิบายให้มากความว่า ของเสียจากโรงงานเหล่านี้ทำให้แหล่งน้ำในชุมชนเน่าเสียอย่างไร แถมส่งกลิ่นเหม็นเน่า หรือบางทีอาจปล่อยสารอันตรายลงสู่แหล่งด้วยเช่น ตะกั่ว ปะรอท สารหนู หรือไซยาไนด์ลงน้ำอีกด้วย

  • Agricultural Wastewater หรือ แหล่งน้ำเสียที่เกิดจากภาคเกษตรกรรม

น้ำที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี หรือน้ำที่ผ่านการชำระคอกสัตว์ น้ำเสียจากนาข้าว   และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ถูกปล่อยลงแม่น้ำลำคลองอย่างมิได้คำนึงถึงผลกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชน ทำให้แหล่งน้ำในชุมชนต่างได้รับผลกระทบจากสิ่งปฏิกูลที่ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำกันอย่างถ้วนทั่ว

เสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนก็ส่งเสียงถึงภาครัฐดังขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้เข้ามาวางระบบการจัดการน้ำ หรือบำบัดน้ำในแหล่มชุมชนให้สะอาด ไม่ส่งกลิ่นเหม็น และจะน่าอภิรมย์เป็นอย่างยิ่งหากแหล่งน้ำในชุมชนสามารถนำมาใช้สอยได้แบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ทางฝั่งภาครัฐก็มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นยกตัวอย่างกรณีของ กรุงเทพมหานคร ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ใน 1 วัน ชาวกรุงเทพฯ ใช้น้ำประปากว่า 2,637,009 ลบ.ม. ซึ่งกว่า 80% หรือราว 2,109,607 ลบ.ม. จะกลายเป็นน้ำเสีย

หลังจากนั้นน้ำเสียเหล่านี้ก็จะถูกส่งไปเข้าแหล่งบำบัดน้ำเสียทั้ง 8 แห่งทั่วกรุงเทพมหานครได้แก่ สี่พระยา รัตนโกสินทร์ ช่องนนทรี หนองแขม ทุ่งครุ ดินแดง จตุจักร และบางซื่อ ซึ่ง 8 แห่งที่กล่าวมานี้ สามารถบำบัดน้ำเสียให้กลายเป็นน้ำสะอาดที่ได้คุณภาพราว 1,112,000 ลบ.ม. ต่อวัน

แหล่งบำบัดน้ำเสียในกรุงเทพมหานคร Cr. สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร แหล่งบำบัดน้ำเสียในกรุงเทพมหานคร Cr. สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร

ถึงกระนั้น ก็ยังมีแหล่งบำบัดน้ำเสียแหล่งอื่น ๆ แต่เป็นขนาดย่อม ซึ่งสามารถบำบัดน้ำได้ตั้งแต่ 10,000 – 20,000 ลบ.ม. ต่อวัน หากเราได้ตามข่าวสารกันมาบ้างก็พอจะรู้ว่าน้ำเสียในพื้นที่ชุมชนกทม. มีเยอะเกินนิ้วมือจะนับไหว กระจายกันอยู่ในหลาย ๆ เขต ทำให้กทม. เล็งที่จะสร้างโรงงานควบคุมคุณภาพน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มฟันเฟืองในการบำบัดน้ำ

ทั้งนั้นทั้งนี้ เมื่อได้รับเสียงเพรียกจากภาคประชาชน หน่วยงานรัฐก็ขยับตัวแล้ว ในการเร่งแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในชุมชนด้วยหลากหลายกระบวนท่า ทางภาคเอกชนก็ไม่น้อยหน้า เดินเครื่องเต็มกำลัง บริษัทต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญในแวดล้อมกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อรับกับยุคสมัยที่กำลังเข้าสู่โลกแห่งความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ความเคลื่อนไหวของ บริษัท เนสท์เล่ ที่เดินหน้าคืนแหล่งน้ำสะอาดให้กับชุมชนและธรรมชาติ ภายใต้โครงการ เนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ (Nestlé Waters cares for Water) โดยวางเป้าสร้างระบบนิเวศในแหล่งชุมชนให้มีความยั่งยืน และให้ผู้คนในชุมชนสามารถมีความรู้ในการรักษาแหล่งน้ำเอาไว้ด้วยวิธีการที่ถูกหลัก กระทั่งสามารถเปลี่ยนแหล่งน้ำในชุมชนที่สีคล้ำ ให้กลับมาเป็นแหล่งน้ำที่ใสสะอาดได้อีกครั้ง

โดยจุดหมายแรกที่ทางบริษัท เนสท์เล่ เริ่มเป็นที่แรกในการเข้ามารับฟังและช่วยพัฒนาแหล่งน้ำในชุมชนให้กลับมาสะอาดอีกครั้งคือ จังหวัดอยุธยา ในพื้นที่ ‘คลองขนมจีน’ บริเวณที่ WWF กล่าวถึงไว้ว่า ‘น้ำ’ คือลมหายใจของชุมชนชาวขนมจีน

ในอดีต คลองขนมจีนประสบปัญหาน้ำในคลองไม่สะอาด มีขยะหลายชนิด และวัชพืชสะสมมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านเวลามาหลายยุคสมัย แต่ปัญหามลพิษในแหล่งน้ำไม่ได้รับการแก้ไข พฤติกรรม หรือวิถีการใช้ชีวิตของคนในชุมชนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

นายสุชาติ พันธุ์เพ็ง ตัวแทนชุมชนคลองขนมจีน นายสุชาติ พันธุ์เพ็ง ตัวแทนชุมชนคลองขนมจีน

สมัยก่อน อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ในชุมชนคลองขนมจีน มักนิยมสร้างบ้านหันหน้าเข้าหาแม่น้ำลำคลอง ทว่าขณะนี้ บ้านส่วนใหญ่หันหน้าเข้าถนนหมดแล้ว เพราะมีการจราจรที่สะดวกกว่า พูดง่าย ๆ ก็คือ แม่น้ำลำคลองไม่มีประโยชน์ใช้สอยใดใด แถมยังเต็มไปด้วยผักตบชวาทอดกายเกลื่อนกลาด เรือสักลำจะแล่นก็แล่นได้ไม่ถนัด

ผักตบชวาปกคลุมผิวน้ำ ทำเรือแล่นผ่านไม่ได้ ผักตบชวาปกคลุมผิวน้ำ ทำเรือแล่นผ่านไม่ได้

ผักตบชวาปกคลุมผิวน้ำ ทำเรือแล่นผ่านไม่ได้ ผักตบชวาปกคลุมผิวน้ำ ทำเรือแล่นผ่านไม่ได้

วิธีการที่บริษัท เนสท์เล่ นำปฏิบัติกับชุมชนคลองขนมจีนหลัก ๆ สามารถแตกออกได้เป็น 4 โครงการหลักได้แก่

  1. โครงการเยาวชนพิทักษ์น้ำ

โครงการนี้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 โดยมีเป้าสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักเรียนและคนในชุมชน เรื่องการอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรน้ำในคลองขนมจีน ปัจจุบันมีนักเรียนและคนในชุมชนใกล้เคียงเข้าร่วมแล้วกว่า 6,000 คน

โครงการเยาวชนพิทักษ์น้ำ Cr. WWF โครงการเยาวชนพิทักษ์น้ำ Cr. WWF

  1. ตลาดนัดขยะชุมชน

จัดการขยะในระดับครัวเรือน ด้วยการเปลี่ยนขยะให้เป็นรายได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีขยะในแหล่งน้ำอีก ปัจจุบันชาวบ้านในชุมชนคลองขนมจีนสามารถสร้างรายได้จากขยะจำนวน 12 ตัน ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 9,600 กิโลคาร์บอน

  1. เนสท์เล่รักษ์ชุมชน ผักตบชวาสู่รายได้

อย่างที่กล่าวไป คลองขนมจีนมีผักตบชวนขึ้นมากเสียจนทำให้ไม่สามารถสัญจรบนแหล่งน้ำได้ จึงเกิดไอเดียนำผักตบชวนมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์เช่น โต๊ะ เก้าอี้

จากนั้นก็ส่งต่อให้กับ 7 โรงเรียนที่เข้าร่วมกับทางเนสท์เล่ โดยเป้าประสงค์ก็คือ การสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนและกำจัดวัชพืชอย่าง ‘ผักตบชวา’ ออกไปจากแหล่งน้ำ เพื่อคืนแม่น้ำลำคลองที่สะอาดเกลี้ยงแบบที่เคยเป็นในอดีต

โต๊ะทำจากผักตบชวา โต๊ะทำจากผักตบชวา

โต๊ะทำจากผักตบชวา โต๊ะทำจากผักตบชวา

  1. เนสท์เล่รักษ์น้ำ คืนปลาสู่คลองขนมจีน

เมื่อแหล่งน้ำไม่มีความอุดมสมบูรณ์มากเพียงพอสำหรับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ บรรดาปลาหายากทั้งหลายก็ย้ายถิ่นฐานไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ บ้างก็รอด บ้างก็ปรับตัวกับแหล่งน้ำใหม่ และปัจจัยใหม่ ๆ ไม่ได้จนตายไป ทำให้ปลาที่เคยมีอยู่ในอดีตของคลองขนมจีนหายไปเป็นจำนวนมาก

เนสท์เล่จึงได้มีการจัดทำบ่ออนุรักษ์พันธุ์ปลาท้องถิ่นหายากจำนวน 6 สายพันธุ์ได้แก่ ปลากระทิง ปลาหลดนา ปลารากกล้วย ปลาหมูแดง ปลากราย และปลาแดง เพื่อคืนความหลากหลายทางชีวภาพให้กับแห่งน้ำ และทำให้ระบบนิเวศของคลองขนมจีนกลับมาสมบูรณ์พร้อมอีกครั้ง

แต่ประเทศไทยไม่ได้มีแค่ชุมชนเดียวที่กำลังประสบปัญหาแหล่งน้ำเสียในชุมชน ยังมีอีกหลากหลายพื้นที่ ที่ยังไม่ได้รับการมองเห็น อีกทั้งคนในท้องถิ่นยังไม่มีความรู้ในการจัดการกับแหล่งน้ำที่ถูกต้อง

ตามแต่ละพื้นที่ไม่สามารถใช้ระบบเดียวกันในการเข้าไปจับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เพราะปัจจัยและที่มาของปัญหาของแต่ละพื้นที่ล้วนแตกต่างกัน

เราจำเป็นต้องลงไปศึกษาอย่างละเอียด เพื่อมองให้ถึงแก่นของปัญหา จากนั้นหาทางพัฒนาคุณภาพของแหล่งน้ำ และวิถีชีวิตของคนในชุมชนให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนในระยะยาวได้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น สำหรับภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมรับฟังปัญหา วางแผน และดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์ จนสามารถทำให้แหล่งน้ำในชุมชนเปลี่ยนจากแหล่งมลพิษ

ให้กลับกลายมาเป็นแหล่งรวมชีวิตของคนในชุมชนอีกครั้ง หากหลาย ๆ ภาคส่วนให้ความร่วมมือ พร้อมลงมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง เชื่อว่าแหล่งน้ำและชุมชนอีกมากมายทั่วประเทศไทย จะถูกยกระดับมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ

        สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ

เนื้อหาที่น่าสนใจ

 

 

related