svasdssvasds

ปัญหา "ช.ช้าง กับ ค.คน" แก้ไขได้ หากภาครัฐกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

ปัญหา "ช.ช้าง กับ ค.คน" แก้ไขได้ หากภาครัฐกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

เนื่องในวันช้างไทย (13 มี.ค.) คอลัมน์ Keep The World ชวนอ่านประเด็นจากวงเสวนา "นวัตกรรมชุมชน รับมือช้างป่า" ปัญหาคนกับช้างทางออกอยู่ตรงไหน หาคำตอบที่บทความชิ้นนี้

หลายปีมานี้ ปัญหาพื้นที่ป่าไม้เมืองไทยลดลง ทำให้ “ช้าง" ต้องออกมาหากินนอกพื้นที่ป่า ลุกล้ำเขตที่อยู่อาศัยของชุมชน อันนำไปสู่ปัญหาระหว่าง “คนกับช้าง” ดังที่เราได้ยินเหตุการณ์ คนถูกช้างทำร้ายทั้งชีวิต และทรัพย์สิน

ในงานเสวนา นวัตกรรมชุมชน รับมือช้างป่า ดร.สมหญิง ทัฬหิกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ช้างไทยอาศัยอยู่ในพื้นป่าอนุรักษ์ 91 แห่ง ทว่ามีอยู่ 71 แห่ง ที่มีประสบปัญหาช้างป่าออกนอกเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์

ปัญหา \"ช.ช้าง กับ ค.คน\" แก้ไขได้ หากภาครัฐกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

ในปี 2567 มีช้างป่าออกนอกพื้นที่ป่า จำนวน 11,468 ครั้ง สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินประชาชน 554 ครั้ง และทำพืชผลการเกษตรเสียหาย 3,600 ครั้ง ทั้งนี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 34 ราย เสียชีวิต 39 ราย

แล้วฝั่งประชาชนล่ะ รับมือช้างตัวเบ้อเริ่มอย่างไร ? ทางออกปัญหาของเรื่องนี้คืออะไร ท้องถิ่นควรปรับตัวอย่างไร รัฐมีแผนการอย่างไรให้ ช.ช้าง กับ ค.คน อยู่ร่วมกับสันติ และแฮปปี้กันทุกฝ่าย SPRiNG ผายมือชวนอ่านมบทความชิ้นนี้

สถานการณ์ช้างป่าในประเทศไทย

ปัจจุบัน ช้างไทยมีประชากรอยู่ราว 4,013-4,422 ตัว มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชีย (อันดับ 1 อินเดีย 29,964 ตัว อันดับ 2 ศรีลังกา 5,879 ตัว) รวมแล้วช้างในเอเชียมีจำนวนกว่า 50,000 ตัว ทั้งนี้ ช้างไทยสามารถแบ่งได้เป็น 16 กลุ่ม กระจายตัวอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 91 แห่ง ได้แก่

  • อุทยานแห่งชาติ 46 แห่ง
  • เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 36 แห่ง
  • เขตห้ามล่าสัตว์ป่า 9 แห่ง

 

เปิดสถิติ อุบัติเหตุ-เสียชีวิต จากช้างป่า

ข้อมูลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2561-ปัจจุบัน มีผู้บาดเจ็บ 168 ราย และเสียชีวิต 195 ราย (นอกพื้นที่อนุรักษ์) และในเขตพื้นที่อนุรักษ์ มีผู้บาดเจ็บ 21 ราย และเสียชีวิต 48 ราย ทั้งนี้ ปี 2568 ผ่านไปแค่ 5 เดือน มีผู้บาดเจ็บจากช้างป่าแล้ว 13 ราย และเสียชีวิต 18 ราย

ปัญหา \"ช.ช้าง กับ ค.คน\" แก้ไขได้ หากภาครัฐกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

จาก “ธูปเทียนไข” สู่ “AI” วิวัฒนารับมือช้างป่าของชุมชน

ตาล วรรณกูล ผู้ก่อตั้งศูนย์เรียนรู้ช้างป่าตะวันออก กรรมาธิการวิสามัญติดตามและแก้ไขปัญหาช้างป่า เปิดเผยว่า นวัตกรรม หรือวิธีรับมือช้างป่าของชาวบ้านมีพัฒนาการมานับร้อยปี ย้อนกลับไปไกลสุด ๆ เมื่อมีช้างป่าลุกล้ำ ชาวบ้านจะควักธูปเทียนไขขึ้นมาไหวให้ช้างออกไป

ถัดมาในสมัยปี พ.ศ. 2426 กรมพระยาดำรงฯ ทราบว่ามีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างคนกับช้าง ขณะล่องเรือไปยังจังหวัดนครนายก โดยพบว่า ชาวบ้านมักจะก่อกองไฟ เพื่อไล่ช้าง หรือป้องกันช้างเข้ามากินพืชผลการเกษตร

ตาล วรรณกูล กล่าวว่า “ปัจจุบัน ชาวบ้านใช้ปืนแก๊ป หรือแม้กระทั่งระเบิดปองปอง เพื่อขู่ให้ช้างตื่นกลัว และวิ่งเตลิดระเห็จหายไป นอกจากนี้ ยังมีการใช้ AI เข้ามาช่วย แม้ยังไม่เสถียรมาก แต่มันมีประโยชน์ในแง่ที่ว่า อาสาสมัครใช้เวลา 10-15 นาที ถึงพื้นที่ ทำให้ช้างไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ทำเกษตรของชาวบ้านได้”

“ที่ผมไล่เรียงมานี้คือ วิธีการปรับตัวของชาวบ้านในภาคตะวันออก ให้อยู่รอด และอยู่ร่วมกับช้างได้ แล้วใครกันล่ะที่ผลักดันให้นวัตกรรมที่ว่ามานี้เกิดขึ้นได้จริง รัฐต้องพิจารณากระจายอำนาจมาสู่ท้องถิ่น เพราะคนทำลายป่าไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นนโยบายของรัฐ ที่ชักจูงกลุ่มทุนให้เข้ามาสูบทรัพยากรไปยังเมืองใหญ่” ตาล วรรณกูล กล่าวทิ้งทาย

 

3 แนวทางแก้ไขปัญหา ‘คนกับช้าง’ จากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

ป่าตะวันตก มีพื้นที่รวมกันกว่า 12 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี พื้นที่แถบนี้ก็มีปัญหาระหว่างคนกับช้างเช่นเดียวกัน ดังนั้น มูลนิธิสืบฯ ที่ทำงานในพื้นที่ป่าตะวันตก (ห้วยขาแข้ง) มีวิธีแก้ปัญหาดังนี้

  • ลาดตระเวนในพื้นที่ป่าชุมชนเดือนละ 3 ครั้ง
  • จัดทำแผนงานร่วมระหว่างรัฐ และชุมชน
  • ดูแลป่าชุมชนที่สัตว์ป่าเข้ามาใช้ประโยชน์
  • สนับสนุนการทำงานของเครือข่ายเฝ้าระวัง
  • มีการประชุมหมู่บ้าน (ในห้วยขาแข้ง) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และปัญหาที่พบเจอกันทุกเดือน

นริศ บ้านเนิน จากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยว่า “ข้อเสนอจากผมมีอยู่ 3 เรื่อง อย่างแรกคือ นโนบาย ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กัน (กระทรวงทรัพย์ฯ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตร ฯลฯ) อย่างที่สอง ควรมีแผนชัดเจนว่าจะจัดการช้างในป่า และนอกป่าอย่างไร”

“สามคือ รัฐต้องเสนอทางออกให้กับชุมชน อาทิ พิจารณาเปลี่ยนอาชีพ แนะนำวิธีเฝ้าระวังตัวเองจากช้าง (ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน) หรือในกรณีที่ยังเอาช้างเข้าป่าไม่ได้ ควรแจ้งมาเลยว่าชุมชนต้องทำอย่างไร จึงจะอยู่กับช้างได้”

ปัญหา \"ช.ช้าง กับ ค.คน\" แก้ไขได้ หากภาครัฐกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

 

กระจายอำนาจให้ชุมชน

นายพิเชษ นุ่มโต จากสมาคมนิเวศยั่งยืน เสนอว่า รัฐส่วนกลางต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา เรื่อยไปจนถึงร่วมกันหาวิธีอนุรักษ์ช้างป่า กล่าวคือ ต้องมีงบประมาณลงมา

เมื่อมีงบประมาณลงมาถึงท้องถิ่น สิ่งที่จะตามมาคือ ชุมชนจะมีอำนาจตัดสินใจด้วยตัวเอง และมีเครื่องมือแก้ปัญหาช้างป่า ยกตัวอย่าง อาจมีการใช้โดรน กล้อง AI หรือแม้แต่ระบบแจ้งเตือน (warning system) เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้อาสาสมัครเข้าถึงพื้นที่ได้ทันท่วงที และป้องกันมิให้ช้างลุกล้ำเข้าเขตที่อยู่อาศัยของชุมชน

“การติดตั้งนวัตกรรม และเทคโนโลยีให้กับคนกลุ่มนี้จะช่วยแก้ปัญหาช้างกับคนได้อย่างมหาศาล และรัฐต้องเปิดพื้นที่รับฟัง-แลกเปลี่ยนกับคนในท้องถิ่น อัปเดตวิธีการ นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้เท่าทันพฤติกรรมของช้าง” พิเชษ นุ่มโต กล่าวทิ้งท้าย

 

ภาครัฐเอาไงต่อปัญหาคนกับช้าง ?

ดร.สมหญิง ทัฬหิกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ภาครัฐได้กำหนดมาตรการ 6 ด้าน เพื่อกรุยทางให้ช้างกับคนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

  • การจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพื่อเป็นแหล่งอาศัยของช้างป่า
  • จัดการแนวทางป้องกันช้างป่า
  • สนับสนุนชุดเฝ้าระวัง และผลัดดันช้างเข้าป่า
  • ช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากช้างป่า
  • จัดการพื้นที่รองรับป่าอย่างยั่งยืน
  • ควบคุมประชากรช้างป่าด้วยวัคซีนคุมกำเนิด

ในกรณีของการฉีดวัคซีนคุมกำเนิด ดร.สมหญิง เปิดเผยว่า มีการศึกษาร่วมกับแพทย์อย่างละเอียด ทีละขั้นตอน เบื้องต้น ได้ทดลองฉีดวัคซีนคุมกำเนิดในช้างเลี้ยงไปแล้ว ผลพบว่าวัคซีนไม่ได้มีผลกระทบต่อช้าง ขั้นตอนถัดไป จะะเริ่มไปใช้กับช้างป่าตะวันออก

“ขอให้ทุกท่านวางใจ เราไม่ได้ทำหมันถาวร แต่พยายามให้ระดับการเพิ่มของประชากรช้างค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสมดุล”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related