SHORT CUT
Hyperloop เปิดตัว HyperPort ระบบขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ความเร็วสูง หวังเปลี่ยนโฉมโลจิสติกส์ในบราซิล ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Hyperloop Transportation Technologies (HTT) กำลังวางแผนปฏิวัติระบบการขนส่งสินค้าในบราซิลด้วยโครงการ HyperPort อันทะเยอทะยาน โดยมีเป้าหมายในการสร้างเส้นทางขนส่งความเร็วสูงที่สามารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต (12.2 เมตร) ลำเลียงผ่านท่อสุญญากาศด้วยความเร็วที่เทียบเท่ากับการขนส่งทางอากาศ
การศึกษาเบื้องต้นของโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วและผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าโครงการนี้สามารถดำเนินการได้ ไม่เพียงแต่ในแง่ของงบประมาณเท่านั้น
การศึกษาที่นำโดย LabTrans ของมหาวิทยาลัยกลางซานตากาตารีน่า (Federal University of Santa Catarina) ร่วมกับ EGA Group บริษัทโลจิสติกส์ท่าเรือของบราซิล มีเป้าหมายเพื่อสร้างและกำหนดเส้นทางจากท่าเรือซานโตส (Port of Santos) ผ่านเมืองเซาเปาโลและไกลออกไป โดยผ่านเมืองสำคัญอื่น ๆ และเส้นทางเดินเรือ
ในปี 2024 ท่าเรือซานโตสรองรับปริมาณการขนส่งสินค้ากว่า 5 ล้าน TEUs (หน่วยวัดขนาดของตู้คอนเทนเนอร์แบบ 20 ฟุต) ติดอันดับ 40 ของโลก แต่ถือเป็นท่าเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในละตินอเมริกา
ปัจจุบัน ท่าเรือแห่งนี้มีรถบรรทุกเข้าออกพื้นที่ประมาณ 3,000 ถึง 15,000 คันในแต่ละวัน และการขับรถผ่านภูเขาเป็นระยะทาง 60 ไมล์ (90 กิโลเมตร) ไปยังเมืองเซาเปาโลต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร
แต่ด้วยแคปซูล Hyperloop ที่ได้รับออกแบบมาให้สามารถรองรับการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต (เทียบเท่ากับ 2 TEUs) เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 370 ไมล์ต่อชั่วโมง (595 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ทำให้ระยะเวลาเดินทางจากเดิมซึ่งอยู่ที่หลายชั่วโมงหรือเป็นวัน ลดลงเหลือเพียง 20 – 30 นาที ซึ่งเทียบได้กับความเร็วของการขนส่งทางอากาศ
จากการคาดการณ์ความต้องการของโครงการ HyperPort นั้น บริษัท HTT ยังพบว่า การดำเนินงานในแต่ละวันจะใช้แคปซูลด้วยกันทั้งหมด 4,810 แคปซูล ในการเดินทางไปกลับระหว่างเมืองเซาเปาโลและท่าเรือซานโตส และ 4,156 แคปซูล ระหว่างเมืองเซาเปาโลกับเมืองคัมปินาส (Campinas) ที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งอาจช่วยลดจำนวนรถบรรทุกบนท้องถนนได้มากถึง 4,000 คันต่อวัน
ขณะที่ในตอนนี้ HTT กำลังมุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่เส้นทางระหว่างท่าเรือซานโตสและเมืองคัมปินัส 169 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางที่มีศักยภาพและทำกำไรได้มากที่สุด
แม้ว่าจะมีการศึกษาและวิเคราะห์ตัวเลขแล้ว แต่ที่จริงแล้วการสร้าง HyperPort ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล โดยคาดว่าโครงการนี้จะมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) ราว 9,600 ล้านดอลลาร์ (323,000 ล้านบาท) สำหรับการก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึง ค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน (OPEX) อีกราว 1,600 ล้านดอลลาร์ (53,700 ล้านบาท) ตลอดอายุโครงการ เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน ค่าซ่อมบำรุงและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของเส้นทางคัมปินัส-ซานโดส
อย่างไรก็ตาม เฉพาะเส้นทางย่อยนี้เพียงเส้นทางเดียว คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้รวมที่ 17,100 ล้านดอลลาร์ (5.73 แสนล้านบาท) ตลอดระยะเวลาของโครงการ
ส่วนเส้นทางทั้งหมดจากท่าเรือซานโตสถึงเมืองเซาโฮเซดูริอูเปรโต (São José do Rio Preto) ซึ่งมีระยะทางรวม 341 ไมล์ (549 กิโลเมตร) นั้น HTT คาดการณ์ว่าจะมีค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน (OPEX) ทั้งสิ้น 2,800 ล้านดอลลาร์ (93,940 ล้านบาท) และสามารถสร้างรายได้ต่อปีประมาณ 535 ล้านดอลลาร์ (17,949 ล้านบาท)
หากรัฐบาลบราซิลเป็นผู้สนับสนุนการลงทุนเต็มจำนวน บริษัท HTT คาดว่าจะมีผลอัตราตอบแทนภายใน (IRR) อยู่ที่ 62.7% โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) อยู่ที่ 4,800 ล้านดอลลาร์ (161,040 ล้านบาท) ถือเป็นโครงการที่มีความน่าสนใจในการลงทุนค่อนข้างสูงมาก เพราะแม้ว่าจะมีการเปิดให้ภาคเอกชนร่วมลงทุน 25% ในค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) ก็ยังสามารถดำเนินโครงการนี้โดยอย่างมีกำไร นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณารูปแบบการระดมทุนรูปแบบอื่น ๆ เช่น การ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในกิจการของรัฐ (PPP) ด้วย
HTT ยังได้เปิดเผยคาดการณ์ตัวเลขที่ครอบคลุมระยะเวลาอีก 30 ปีข้างหน้า โดยมีการกล่าวถึงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 906 ตันต่อวันภายในปี 2060 สะท้อนให้เห็นว่า HTT มีเป้าหมายในการสร้างทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งสินค้าในอนาคต นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า อุบัติเหตุ มลพิษทางอากาศ และความเสียหายของถนนที่ลดลงจากจำนวนรถบรรทุกที่น้อยลง จะช่วยสร้างผลประโยชน์ทางอ้อมของเศรษฐกิจเพิ่มเติมถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ (67,100 ล้านบาท) ด้วย
ขั้นตอนต่อไปของโครงการ HyperPort คือการดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ทางเทคนิค เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม (Technical, Economic, and Environmental Feasibility Study : EVTEA) โดยเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว โครงการนี้จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาแหล่งเงินทุนและการอนุมัติจากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของระบบขนส่งแห่งอนาคตระบบนี้ต่อไป
หากสำเร็จ โครงการ HyperPort อาจกลายเป็นต้นแบบของระบบขนส่งสินค้าแห่งอนาคตที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อ