SHORT CUT
BYD ยักษ์ใหญ่ EV จีน เปิดตัว Denza Z รถสปอร์ตหรูต้นแบบในงาน Auto Shanghai 2025 พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ตั้งเป้าท้าชิงแบรนด์ตะวันตก
BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน สร้างความฮือฮาในงาน Auto Shanghai 2025 ซึ่งเป็นงานแสดงยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ด้วยการเปิดตัว Denza Z รถยนต์สปอร์ตไฟฟ้าหรูรุ่นใหม่ ภายใต้แบรนด์พรีเมียม Denza
การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนความทะเยอทะยานของ BYD ที่จะก้าวขึ้นมาแข่งขันในตลาดรถยนต์ระดับไฮเอนด์กับแบรนด์ตะวันตกอย่าง Porsche และ Mercedes-Benz
Denza Z เปิดตัวในฐานะรถยนต์ต้นแบบ มาพร้อมดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวภายใต้ปรัชญา "Pure Emotion" และอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจาก BYD
แบรนด์ Denza ซึ่งเดิมเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Mercedes-Benz แต่ปัจจุบัน BYD ถือหุ้นทั้งหมด ได้เปิดตัวในยุโรปไปเมื่อต้นเดือนเมษายน
และยังมีแผนจะนำรถยนต์สมรรถนะสูงบุกตลาดยุโรปและสหราชอาณาจักรในปี 2026 การรุกเข้าสู่ตลาดรถสปอร์ตหรูของ Denza เกิดขึ้นในขณะที่ Porsche กำลังเผชิญกับยอดขายที่ลดลงในจีน
นอกเหนือจาก Denza แล้ว BYD ยังมีแบรนด์ Yangwang สำหรับเจาะตลาดรถยนต์หรูระดับราคาล้านหยวน (ราว 5 ล้านบาท) ซึ่งเพิ่งเปิดตัว U8L SUV รุ่นใหม่ในงานนี้เช่นกัน
การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เหล่านี้ตอกย้ำความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ BYD ซึ่งครองตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีนอยู่แล้ว
ในปี 2024 BYD สร้างรายได้รวม 107 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้า Tesla ที่มีรายได้ 97.7 พันล้านดอลลาร์ และส่งมอบรถยนต์ NEV มากกว่า 4.27 ล้านคัน ขณะที่ Tesla ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า 1.79 ล้านคัน ซึ่ง BYD ส่งมอบ BEV ตามมาติดๆ ที่ 1.76 ล้านคัน
ในไตรมาสแรกของปี 2025 BYD ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยขายรถยนต์ NEV ไปได้กว่า 1 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
และนับเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันที่ BYD มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) สูงกว่า Tesla
ยอดขาย BYD "416,388 คัน" เทียบกับ Tesla "336,681 คัน" นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า BYD มีแนวโน้มที่จะแซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นผู้นำยอดขาย BEV รายปีของโลกได้ภายในปี 2025
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา BYD ได้เปิดตัว "Super e-Platform" พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง ที่สามารถเพิ่มระยะทางวิ่งได้ถึง 400 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 5 นาที ซึ่งเร็วกว่าระบบ Supercharger ของ Tesla บริษัทยังมีแผนสร้างสถานีชาร์จระดับเมกะวัตต์กว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศจีนเพื่อรองรับเทคโนโลยีนี้
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น ภาษีนำเข้าในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา
แต่ BYD ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปทั่วโลก โดยตั้งเป้าเพิ่มยอดขายนอกประเทศจีนเป็นสองเท่า แตะ 800,000 คันภายในปี 2025 และใช้กลยุทธ์การตั้งโรงงานประกอบในตลาดท้องถิ่นเพื่อรักษาความได้เปรียบด้านต้นทุน
ที่มา : CNN