SHORT CUT
สิงคโปร์ ค่าไฟแพงที่สุดในอาเซียน แม้ราคาพลังงานโลกลดลง แต่ค่าไฟยังพุ่งถึง 12.3 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ครัวเรือนมีภาระค่าไฟเฉลี่ยราว 2,974 บาทต่อเดือน ภาครัฐจึงมอบบัตรกำนัล 800 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 20,000 บาท) ช่วยค่าครองชีพประชาชน 1.3 ล้านครัวเรือน และจ่ายค่าไฟได้
ประชาชนในสิงคโปร์ราว 1.3 ล้านครัวเรือน จะได้รับ “บัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์” หรือ CDC Vouchers มูลค่า 800 สิงคโปร์ดอลลาร์ หรือราว 20,000 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายค่าสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร ฯลฯ ได้ทุกบ้าน ตั้งแต่เด็กแรกเกิด ไปจนถึงผู้สูงอายุ
สำนักข่าว Strait Times เปิดเผยว่า เงินหมื่นก้อนนี้ จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับครอบครัวผู้มีรายได้น้อยชาวสิงคโปร์ 950,000 ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่ใน “Public Housing” ซึ่งเป็นบ้าน หรือที่อยู่อาศัยซึ่งรัฐเป็นผู้อุดหนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยอาศัยอยู่ได้ในราคาที่เหมาะสม
ดังนั้น มาทดลองกดเครื่องคิดเลขกันหน่อยดีกว่าว่า ‘เงินหมื่น’ ที่ชาวสิงคโปร์ได้รับนั้น จะช่วยแบ่งเบาภาระให้ครัวเรือน (ผู้มีรายได้ร้อย) ได้มากน้อยแค่ไหน โดยจะใช้ ‘ค่าไฟ’ เป็นตัวอย่าง พร้อมทั้งไปสำรวจว่าสภาพอากาศในยุคโลกเดือด มีผลต่อค่าไฟชาวสิงคโปร์หรือไม่?
ต้องเข้าใจก่อนว่าสิงคโปร์ไม่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเพื่อพลังงาน อาศัยนำเข้าเป็นหลัก โดยตอนนี้ 80% ของพลังงานไฟฟ้าในสิงคโปร์ใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิต อีก 18% คือน้ำมัน และ 2% มาจากโรงงานเผาขยะ
แม้เวลานี้ ราคาพลังงานทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกจะปรับลดลงแล้ว แต่ปรากฎราคาค่าไฟฟ้าของสิงคโปร์ก็ยังแพงหูฉี่ ชนิดที่ถือครองอันดับ 1 หลายปีติดต่อกัน
โดยข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า สิงคโปร์ เคยมีค่าไฟ 8.22 บาทต่อหน่วย (ปี 2566) ทว่าปัจจุบัน สิงคโปร์ มีค่าไฟอยู่ที่ 12.3 บาทต่อหน่วย ขณะที่ไทยนั้นรั้งอันดับ 5 มีค่าไฟ 4.15 บาทต่อหน่วย
*หมายเหตุ หน่วย = กิโลวัตต์ชั่วโมง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 SP Group บริษัทพลังงานจากสิงคโปร์ แถลงว่า อัตราค่าไฟภาคครัวเรือนจะอยู่ที่ 29.88 เซ็นต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (ยังไม่หักภาษี)
ด้วยค่าธรรมเนียมไฟฟ้าใหม่นี้ ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยต่อเดือนสำหรับครอบครัวที่อาศัยอยู่ในแฟลต 4 ห้องของ Housing Board จะเพิ่มขึ้นจาก 118.03 ดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 118.38 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 2,974 บาท (ต่อเดือน)
สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสิงคโปร์ รายงานว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา มีอุณหภูมิสูงสุดที่ 37 องศาเซลเซียส ทุบสถิติเดิม 36.7 องศา และข้อมูลระบุอีกว่า สิงคโปร์เผชิญกับวันอากาศร้อนระดับอันตราย 122 วัน ในปี 2567 สภาพอากาศเช่นนี้ ส่งผลกระทบอย่างไร?
อย่างแรก ความต้องการไฟฟ้าของสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 8% จาก 7.3 กิกะวัตต์ในเดือนกุมพาพันธ์ ไต่ระดับขึ้นไปถึง 7.9 กิกะวัตต์ในเดือนพฤษภาคม (ปี 2566)
ทั้งนี้ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (เอ็นยูเอส) พบว่า “ภาวะเครียดจากความร้อน” (heat stress) อาจทำให้ สิงคโปร์ สูญเสียทางเศรษฐกิจ จากช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิดในปี 2561 เกือบ 2 เท่า ราว 1,640 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2578
ผายมือไปยัง ‘แรงงานกลางแจ้ง' ผู้ที่ต้องเผชิญกับแดดเปรี้ยงโดยตรง จะสูญเสียความสามารถในการผลิต สิ่งนี้เมื่อแปรเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับปากท้องแล้ว แรงงานจะสูญเสียรายได้ 21 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อคน หรือราว 570 บาท
ชาวสิงคโปร์รายหนึ่งเปิดเผยกับสำนักข่าว The Strait Times ว่า ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแฟลต ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดี คับแคบ แออัด แม้ภาครัฐจะมี “คู่มือการเอาตัวรอดในอากาศร้อน” (Heat Stress Advisory) การทาสีลดอุณหภูมิ หรือผุดโครงการแก้ปัญหาเกาะความร้อน แล้วก็ตาม
รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ได้โอนเงินผ่านพร้อมเพย์ หรือแอปพลิเคชัน แต่จะจ่ายเงินผ่าน “บัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์” หรือ CDC Vouchers โดยมีเป้าหมายคือจะช่วยเป็นทุนรอนให้ครัวเรือนรับมือกับค่าครองชีพในด้านต่าง ๆ ได้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
สำหรับทุกบ้าน
สำหรับครอบครัวใหญ่
สำหรับผู้สูงอายุ
ที่มา: The Strait Times, The Online Citizen, CNA, Today Online
ข่าวที่เกี่ยวข้อง