svasdssvasds

BYD ค่ายยักษ์ใหญ่ ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 10 ล้านคัน ลงทุนเพิ่ม 480,000 ล้านบาท

BYD ค่ายยักษ์ใหญ่ ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 10 ล้านคัน ลงทุนเพิ่ม 480,000 ล้านบาท

BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) คันที่ 10 ล้าน จากผู้ผลิตแบตเตอรี่รายย่อยในปี 1995 สู่ผู้นำแห่งวงการรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก

SHORT CUT

  • BYD เริ่มต้นจากผู้ผลิตแบตเตอรี่รายเล็กในปี 1995 ก่อนจะก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความสามารถในการปรับตัวของบริษัท
  • BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของจีนที่ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ได้ถึง 1 ล้านคัน และล่าสุดครบ 10 ล้านคันแล้ว
  • BYD คาดว่าจะมียอดขายทั่วโลก 6 ล้านคันภายในปี 2026 โดยเน้นการขยายตลาดต่างประเทศ แสดงถึงความทะเยอทะยานในการก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นหลักในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลก

BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) คันที่ 10 ล้าน จากผู้ผลิตแบตเตอรี่รายย่อยในปี 1995 สู่ผู้นำแห่งวงการรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก

BYD ฉลองครบรอบ 30 ปี ผลิตรถยนต์ NEV ครบ 10 ล้านคัน โดยใช้เวลา 15 ปีเต็มสำหรับ 5 ล้านคัน ปัจจุบันใช้เวลาเพียง 15 เดือน ก็สามารถผลิตได้ถึง 5 ล้านคัน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงนวัตกรรมที่น่าสนใจของบริษัทจีนยักษ์ใหญ่นี้

ปัจจุบันการผลิตรถยนต์เฉลี่ยของ BYD สามารถทำได้ประมาณวันละ 16,300 คันต่อวัน ซึ่งถือว่าทำลายสถิติและทำให้บริษัทสามารถผลิตรถได้เร็วมากกว่าในอดีตมาก

จุดเริ่มต้นของ BYD เริ่มขึ้นในปี 1995 ด้วยทีมงานเล็กๆ เพียง 20 คน โดยมุ่งเน้นที่การผลิตแบตเตอรี่ ก่อนจะพลิกโฉมธุรกิจเข้าสู่วงการยานยนต์ในปี 2003 ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Qinchuan

CREDIT : CNEVPOST

BYD เริ่มต้นเส้นทางการผลิตรถยนต์ด้วยรุ่น 316 ในปี 2004 แต่ต้องพบกับอุปสรรคเมื่อตัวแทนจำหน่ายยังไม่มั่นใจคุณภาพ แต่ BYD ก็พลิกวิกฤตกลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วยการเปิดตัว F3 ในปี 2005 กวาดยอดขายถล่มทลายกว่า 100,000 คันภายใน 14 เดือน ความสำเร็จครั้งนี้จุดประกายความทะเยอทะยานของ BYD และนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 

CREDIT : CNEVPOST

ปี 2008 BYD เปิดตัวแพลตฟอร์มไฮบริด DM รุ่นแรก และแนะนำ F3DM รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในวงกว้างรุ่นแรกของโลก นับเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของ BYD ในการพัฒนา NEV (รถยนต์พลังงานใหม่)

BYD ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดอย่างไม่หยุด ซึ่งได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม DM รุ่นที่สี่ในปี 2021 พร้อมตัวเลือกที่เน้นสมรรถนะ (DM-p) และประหยัดน้ำมัน (DM-i) และล่าสุดในปี 2024 BYD ได้ยกระดับเทคโนโลยีสู่แพลตฟอร์ม DM รุ่นที่ 5 

BYD ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในปี 2022 โดยประกาศยุติการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน หันมาทุ่มเทให้กับปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) อย่างเต็มตัว

ความสำเร็จของ BYD ในปี 2021 ได้กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของจีนที่ผลิตรถยนต์ NEV ได้หนึ่งล้านคัน และในเดือนพฤศจิกายน 2024 BYD สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ผลิตรถยนต์ NEV คันที่ 10 ล้าน

CREDIT : CNEVPOST

BYD Denza Z9 เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในงาน Guangzhou Auto Show 2024 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ BYD ในด้านนวัตกรรมและการรุกตลาดรถยนต์หรู ซึ่ง Denza Z9 มีให้เลือกทั้งรุ่น PHEV และ BEV โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี e3 ขั้นสูงของ BYD ระบบอันล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์สมรรถนะสูงโดยเฉพาะ

CREDIT : CNEVPOST

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายทั่วโลกของ BYD จะพุ่งสูงถึง 6 ล้านคันภายในปี 2026 โดยส่วนสำคัญมาจากตลาดต่างประเทศ สะท้อนความมุ่งมั่นของ BYD ในการขยายอาณาจักรไปไกลกว่าจีน และก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลก

BYD ประกาศว่าจะลงทุน 100 พันล้านหยวนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ผสมผสานปัญญาประดิษฐ์และรถยนต์ ความก้าวหน้าทางอัจฉริยะที่ครอบคลุมของรถยนต์ทั้งคันและได้รับสิทธิ์ในการพูดเกี่ยวกับเทคโนโลยีในอนาคต

การเดินทางของ BYD จากผู้ผลิตแบตเตอรี่รายเล็กสู่ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถยนต์ไฟฟ้า คือบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นในด้านนวัตกรรม ความยั่งยืน และการขยายธุรกิจระดับโลก การมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยี NEV ขั้นสูง ความสำเร็จในการผลิตอันน่าทึ่ง และกลยุทธ์ความร่วมมืออันแข็งแกร่ง ส่งผลให้ BYD เป็นกำลังสำคัญในการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์

ความสำเร็จของ BYD ชี้ให้เห็นถึงอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาปภายในอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญไม่ว่าจะเป็น ผู้บริโภคหันมาใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น, แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น, หลายประเทศทั่วโลกออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ในอนาคตอันใกล้ เราจะเห็นการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ ระบบเชื่อมต่อ และนวัตกรรมอื่นๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิมต้องปรับตัว ขณะที่ผู้เล่นรายใหม่ๆ จะเข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น

ที่มา : CnEVPost

related