SHORT CUT
BYD ทำยอดขายสูงทั่วโลกแซงค่ายญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota และ Honda ที่เคยเป็นแชมป์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV จีนกำลังบุกเข้าตีตลาดอย่างรุนแรง ซึ่งเราอยากชวนมาดูกันว่าจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง
BYD กำลังขยายตัวและเติบโตสู่ตลาดรถทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่ช้าในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และนี่ชี้ให้เห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังประสบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเนื่องจากผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน
ยอดขายของ BYD เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้น 40% ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2567 ส่งผลให้มียอดขายรวม 980,000 คันในช่วงครึ่งแรกของปี
ความสำเร็จนี้สามารถนำมาประกอบกับปัจจัยหลายประการ ซึ่งพูดง่ายๆว่ารถ EV จีนทั้ง "ราคาถูกและคุ้มค่า" โดยยอดขายในต่างประเทศของ BYD เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเป็น 1.05 แสนคัน
ยกตัวอย่างเช่น BYD Seagull ซึ่งมีราคาต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์ในตลาดจีน กลยุทธ์การกำหนดราคาที่ดุเดือดนี้ทำให้ BYD สามารถดึงดูดฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ซึ่งใครๆก็สามารถซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่จับต้องได้ง่าย
BYD ยังได้รับแรงสนับสนุนจากความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดในจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ยอดขายในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ปัจจุบัน BYD ได้แซงหน้าฮอนด้าและนิสสันและกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับเจ็ดใหญ่ที่สุดของโลก ความสำเร็จนี้เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจภายในอุตสาหกรรมยานยนต์
เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังท้าทายความเหนือกว่าของผู้เล่นแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะแบรนด์ญี่ปุ่นที่ช้าในการการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า ค่ายจีนได้ร่วมมือและมีรัฐบาลคอยสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาและวิจัยอย่างเต็มที่ นั่นจึงไม่แปลกว่าทำไม BYD จึงพัฒนาได้รวดเร็วกว่าค่ายญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็ว BYD สร้างความปั่นป่วนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล่าสุด ฮอนด้ากำลังเผชิญหน้ากับการลดกำลังการผลิตในประเทศไทย เนื่องจากยอดขายรถที่ตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ซูซูกิก็มีการประกาศยุติการผลิต
แต่สวนทางกับแบรนด์ใหม่อย่าง BYD กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาเข้าถึงได้และมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากกว่า
ความสำเร็จของ BYD เกิดจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ กลยุทธ์การตลาดที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย การลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านวิจัยและพัฒนา รวมถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งแตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่มักเน้นคุณภาพและความน่าเชื่อถือเป็นหลัก
เมื่อเทียบกับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น BYD มีข้อได้เปรียบในหลายด้าน เช่น ความคล่องตัวในการตัดสินใจ การปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้รวดเร็ว และความสามารถในการผลิตในต้นทุนที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดลูกค้าในตลาดใหม่ๆ
BYD ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นต้องเร่งปรับตัว โดยจำเป็นต้องเร่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างแบรนด์ให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การร่วมมือกับบริษัทสตาร์ทอัพหรือบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และสร้างนวัตกรรม
หากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นไม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว อาจสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งจากจีน และส่งผลกระทบต่อตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกในระยะยาวง
ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์จีนอย่าง BYD กำลังเผชิญกับภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งบริษัทกำลังขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศ ด้วยโรงงานใหม่ในประเทศต่างๆ เช่น ไทย ฮังการี และเม็กซิโก เพื่อบรรเทาผลกระทบของภาษี
การขยายตัวทั่วโลกอย่างรวดเร็วของ BYD ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า และเน้นย้ำถึงความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิตรถยนต์จีนในภาคนี้ ซึ่งเชื่อว่าทั่วโลกต้องจับตามองกลยุทธ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นในด้านราคา, เทคโนโลยี ซึ่งอาจเข้ามาทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์เปลี่ยนไปเลยก็ว่าได้
ล่าสุด BYD กำลังจะทำยอดขายแซงหน้าฟอร์ดอย่างรวดเร็วซึ่งมียอดขาย 1.04 ล้านคันในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 การขยายตัวของ BYD เข้าสู่แคนาดาและแผนการสร้างโรงงานในเม็กซิโกทำให้พวกเขาแข่งขันกับฟอร์ดในอเมริกาเหนือโดยตรง
เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็ว พวกเขากำลังตั้งโรงงานผลิตในต่างประเทศ รวมถึงโรงงานใหม่ในประเทศไทยและโรงงานที่วางแผนไว้ในฮังการี บราซิล ตุรกี เม็กซิโก และปากีสถาน
ที่มา : Nikkei Asia