svasdssvasds

โลกร้อนกำลังทำให้ดินทั่วโลกวิกฤต ในขณะที่ "ดิน" กักเก็บคาร์บอนได้ดีมาก

โลกร้อนกำลังทำให้ดินทั่วโลกวิกฤต ในขณะที่ "ดิน" กักเก็บคาร์บอนได้ดีมาก

รู้ไหม? ดินสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าชั้นบรรยากาศ 2 เท่า แต่โลกร้อนกำลังทำให้ดินวิกฤต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและอนาคตของมนุษยชาติ

SHORT CUT

  • ภาวะโลกร้อน กำลังทำให้ดิน สูญเสียประสิทธิภาพครั้งใหญ่
  • ดินทั่วโลกกำลังวิกฤต ผลจากภัยแล้ง และการขาดแคลนน้ำ
  • กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์ รวมถึงชีวิตของผู้คนด้วย
  • ดิน สามารถช่วยลดโลกร้อนได้ เพราะมีประสิทธิภาพการกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าชั้นบรรยากาศ 2 เท่า รองจากมหาสมุทร

รู้ไหม? ดินสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าชั้นบรรยากาศ 2 เท่า แต่โลกร้อนกำลังทำให้ดินวิกฤต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและอนาคตของมนุษยชาติ

อย่างที่ทราบกันดีว่า “ดิน” เป็นทรัพยากรและส่วนประกอบที่สำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์เราพึ่งพาตลอด 24 ชั่วโมง  ไม่ว่าจะเป็น การเดินนั่งใช้ชีวิตประจำวัน การก่อสร้างที่พักอาศัย การเกษตร การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วโลก และอีกมากมาย

แต่ในทางกลับกัน มนุษย์เองกำลังทำให้ดิน สูญเสียประสิทธิภาพมากขึ้น จากภาวะโลกร้อนที่เราสร้างขึ้นมาเองกับมือ

ดินกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าชั้นบรรยากาศ รองจากมหาสมุทร

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เผยว่า ดินที่สูงเกิน 30 ซม. ของโลกมีคาร์บอนมากกว่าชั้นบรรยากาศถึง 2 เท่า รองจากมหาสมุทร นั่นหมายความว่า ดินเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติใหญ่เป็นอันดับสอง มีประสิทธิภาพมากกว่าป่าไม้และพืชพรรณอื่น ๆ ที่สามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศได้

โลกร้อนกำลังทำให้ดินทั่วโลกวิกฤต ในขณะที่ \"ดิน\" กักเก็บคาร์บอนได้ดีมาก

โลกร้อน ทำให้ดินวิกฤตอย่างไร?

ดิน แทบจะเป็นอู่ข่าวอู่น้ำของมนุษย์ สร้างความมั่นคงทางอาหารให้มากมาย รวมไปถึงปกป้องเราจากภัยธรรมชาติสุดเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ภาวะโลกเดือดในปัจจุบัน ทำให้ดินในหลายพื้นที่ทั่วโลกตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต จากการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ภัยแล้ง ที่ทำให้ดินสูญเสียความชื้น กระทบต่อการผลิตพืชผลทางการเกษตรด้วยวิถีชลประทาน เมื่อขาดน้ำ จึงทำให้มีปริมาณผลผลิตลดลง

โลกร้อนกำลังทำให้ดินทั่วโลกวิกฤต ในขณะที่ \"ดิน\" กักเก็บคาร์บอนได้ดีมาก

ฤดูกาลที่เปลี่ยนไปผิดปกติ เช่น ฝนที่ตกหนักมากกว่าปกติ หรือหิมะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เหมือนเหตุการณ์ฟูเขาไฟฟูจิล่าสุดที่หิมะมาช้าจนคนทั่วโลกฮือฮา สิ่งเหล่านี้ ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้ประสิทธิภาพของดินลดลง อาทิ วงจรประจำปีของสัตว์และพืชแปรปรวน

ยกตัวอย่าง ฤดูใบไม้ผลิอาจมาเร็วกว่าปกติ ทำให้ต้นไม้เบ่งบานก่อนที่แมลงผสมเกสรจะฟักเป็นตัว จนสามารถทำหน้าที่ผสมเกสรได้ และด้วยประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น การผลิตอาหารของโลก หรือการสร้างความมั่นคงทางอาหารจึงสำคัญ

โลกร้อนกำลังทำให้ดินทั่วโลกวิกฤต ในขณะที่ \"ดิน\" กักเก็บคาร์บอนได้ดีมาก

ข้อมูลจาก NASA เผยว่า ปี 2024 หลายพื้นที่ทั่วโลก ตั้งแต่ทวีปออสเตเรีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ เอเชีย และแอฟริกา แห้งแล้งและอุณหภูมิที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ อันดับสองรองจากปี 2023  หลายพื้นที่ได้ทุบสถิติอากาศที่อบอุ่นในปีนี้ และการเกษตรส่วนใหญ่ของโลกยังคงประสบปัญหาความชื้นในดินและระดับน้ำในดินต่ำ

หรือแม้กระทั่ง ดินที่กักเก็บน้ำไว้มากเกินไป ก็อาจนำไปสู่ภัยพิบัติได้ เช่น ภาคเหนือของไทยที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ เพราะฝนที่ตกหนักผิดปกติในที่เดิมซ้ำ ๆ ดินอุ้มน้ำไม่ไหว ทำให้ดินโคลนไหลจากภูเขาลงมายังบ้านเรือนมหาศาล และเราเห็นมันชัดเจนมากขึ้นหลังน้ำลด นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราทำให้ดินสูญเสียประสิทธิภาพ

ภัยแล้งในแอฟริกา Cr. Reuters

ความหิวโหยได้เริ่มขึ้นแล้ว

Associated Press รายงานว่า ตามรายงานขององค์การอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (the United Nations' World Food Program) ภัยแล้งต่อเนื่องยาวนานที่เกิดขึ้นที่แอฟริกาตอนใต้ อันเกิดจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้คนได้มากกว่า 27 ล้านคน (ในเลโซโท มาลาวี นามิเบีย แซมเบีย และ ซิมบับเว) และก่อให้เกิดวิกฤตความหิวโหยของภูมิภาคครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โครงการอาหารโลกเตือนว่าสิ่งนี้อาจกลายเป็น “ภัยพิบัติของมนุษย์เต็มรูปแบบ

วิธีทำให้ดินมีประสิทธิภาพขึ้น

ปัญหาอุปสรรคสำคัญคืออะไรล่ะ? อย่างแรกคือ ภาวะโลกร้อนทำให้ดินกักเก็บความชื้นไม่อยู่ ทำให้ความสามารถในการกักเก็บลดน้อยลง สอง ดินถูกเปลี่ยนแปลงการใช้งาน เช่น การเผาหน้าดิน การไถทุ่งพื้นที่เพาะปลูก ทำให้คาร์บอนที่ดินกักเก็บไว้หลุดออกมา

สิ่งที่ต้องแก้คือ การเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกที่ปัจจุบันมีมากเกินไป กลับเป็นเป็นทุ่งหญ้าหรือป่า เพื่อเพิ่มคาร์บอนในดิน ดังนั้น ยิ่งเราดูแลดินได้ดีเท่าไหร่ ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง ก็จะยิ่งช่วยลดคาร์บอนที่ทำให้โลกร้อนได้มากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญเราจะมีความมั่นคงทางอาหาร ในขณะที่ประชากรโลกกำลังแย่งชิงทรัพยากรในอนาคต

ที่มาข้อมูล

National Institutes of Health (NIH) 

European Environment Agency

National Centers of environmental information

related