รายงานฉบับใหม่ของสหประชาชาติเตือนว่า อุณหภูมิของโลกกำลังจะสูงขึ้น 3.1 องศาเซลเซียส ภายใช้สิ้นศตวรรษนี้ และนโยบายแก้ไขปัญหาโลกร้อนในปัจจุบันแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย
จากรายงาน 'ช่องว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจก' ฉบับล่าสุดของสหประชาชาติ ระบุว่า โลกกำลังจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นอีก 3.1 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม หากรัฐบาลทั่วโลกไม่มีการดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม เพราะนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันยังไม่สามารถหยุดยั้งวิกฤติดังกล่าวได้
รายงานดังกล่าวได้พิจารณาความก้าวหน้าของประเทศต่างๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีส ที่กำหนดเพดานอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งการจะทำให้สำเร็จ จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 42% ภายในปี 2030 และ 57% ภายในปี 2035
แม้จะเชื่อว่าเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสยังคงเป็นไปได้ในทางเทคนิค เนื่องจากการหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมีพลังงานหมุนเวียนคิดเป็นสัดส่วนเพียง 30% ของพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก และตั้งเป้าที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนใหม่มากกว่า 5,500 กิกะวัตต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งการเติบโตอย่างมหาศาลนี้อาจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 27% ของศักยภาพทั้งหมดในปี 2030 และ 38% ในปี 2035
อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติโต้แย้งว่า การนำศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนไปใช้ให้เกิดประโยชน์นั้น ต้องอาศัยการระดมพลและความร่วมมือระหว่างประเทศที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะชาติร่ำรวยซึ่งมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกมากที่สุด ก็ควรแบกรับภาระหนักในการแก้ไขปัญหานี้