ท่ามกลางสภาพอากาศโลก ที่ไม่ใช่แค่ 'โลกร้อน' แต่เป็น 'โลกเดือด' ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นทั่วโลก เมืองริมชายฝั่งเสี่ยงจมใต้น้ำ Keep The World พาส่อง 5 แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่อาจจมน้ำและหายไปตลอดกาล
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ดำเนินมาถึงวันสุดท้ายแล้วสำหรับการประชุม COP28 เป็นระยะเวลาเกือบ 2 อาทิตย์ ที่ประเทศทั่วโลกเดินทางไปที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อถกเถียง และพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการรับมือปัญหาของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ในปีนี้ มีหลายประเด็นให้เราได้ติดตามกันอาทิ การหารือเรื่องการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และอีกหนึ่งเรื่องสำคัญคือ การที่บรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมมองว่า ประเทศต่างๆ ยังขาดนโยบายที่จริงจังและการลงมือทำที่เข้มแข็ง เพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้น
สายพานดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงไปยังน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ ที่กำลังละลายลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้น้ำทะเลทั่วโลกหนุนสูงขึ้น จนอาจทำให้เมืองชายฝั่งจ่อจมน้ำในไม่ช้า รวมถึง 5 สถานที่เหล่านี้ด้วย ที่อาจหายไปตลอดกาล หากปัญหาเรื่องโลกร้อนยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
1.มัลดีฟส์
มัลดีฟส์คือแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิต และเป็นเป้าหมายที่หลายคนอยากจะไปเยือนสักครั้งในขีวิต โดยเมื่อพูดถึงมัลดีฟส์ ทุกคนต้องนึกถึงท้องทะเลอันงดงาม เพราะมัลดีฟส์คือประเทศที่ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่นับพัน ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย
แต่เนื่องด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เพราะน้ำแข็งจากขั้วโลกละลาย มัลดีฟ์กำลังเสี่ยงต่อภัยคุกคามกับการหายไปตลอดกาล
สำนักข่าวเอบีซีนิวส์รายงานอ้างบรรดานักวิทยาศาสตร์จากทั้งนาซ่า และศูนย์สำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐฯที่ออกมาเตือนก่อนหน้านี้หลายปีแล้วว่า ภายในปี 2050 พื้นที่เกือบ 80 % ของมัลดีฟส์จะหายไป
อดีตประธานาธิบดีอิบราฮิม โมฮาเหม็ด โซลีห์เคยเปิดเผยกับที่ประชุม COP26 เมื่อสองปีที่แล้วว่า แผ่นดินมัลดีฟส์กำลังจมลงอย่างช้าๆด้วยระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าไม่มีการทำอะไรกับปัญหาโลกร้อน มัลดีฟ์ก็จะถูกลบหายไปภายในสิ้นศตวรรษนี้
หลายเกาะของมัลดีฟส์ยังเผชิญปัญหาการถูกกัดเซาะและน้ำท่วม โดยชาวบ้านท้องถิ่นบนเกาะดิฟฟูชิเล่าว่า พวกเขาเจอน้ำท่วมเพิ่มขึ้น จากเดิมปีละสองหรือสามครั้ง กลายเป็นเดือนละสองครั้ง
2. เวนิซ อิตาลี
เวนิซ อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของอิตาลี ที่มีคลองมากถึง 177 สาย ที่นี่คือเมืองที่แห่งน้ำที่แท้จริงที่หลายคนอยากจะไปเยือนสักครั้ง
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า เวนิซกลับเป็นหนึ่งในเมืองที่เสี่ยงจะถูกน้ำทะเลกลืนกิน และอาจจะหายไปภายใต้คลื่นภายในต้นปี 2100 หรืออีกกว่า 70 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน อาคารบ้านเรือนที่สวยงามมากมายกำลังจมลงและได้รับความเสียหายจากคลื่นที่เกิดจากเรือ
ดังนั้นนอกเหนือจากภัยคุกคามจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ทำให้โลกร้อนขึ้นแล้ว เวนิซยังเผชิญกับภัยคุกคามจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากอีกด้วย
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 เวนิซเจอกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เลวร้ายที่สุดเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน
น้ำท่วมครั้งนั้นกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เพราะระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1.87 เมตร ทำให้กว่า 80%ของเมืองถูกน้ำท่วม
ทางการต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และคาดว่า ครั้งนั้นเกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าถึง 1 พันล้านยูโร หรือประมาณ 38,414 ล้านบาท
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมที่เลวร้ายที่สุดในเวนิซ เกิดขึ้นเมื่อปี 1966 ซึ่งระดับน้ำสูงกว่าน้ำทะเล 1.94 เมตร
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เวนิซมีขนาดเล็ก และมีศักยภาพด้านงบประมาณค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงนำเทคโนโลยีกำแพงกั้นน้ำมาใช้ เพื่อรับมือกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
ทว่า หากว่าอุณหภูมิโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานของเมื่อปี 2021 ก็คาดการณ์ว่า เวนิซจะต้องเจอกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 32 เซนติเมตรภายในปี 2100 อยู่ดี
3.ทะเลสาบเดดซี
ทะเลสาบเดดซีตั้งอยู่ทางตะวันออกของจอร์แดน ติดกับอิสราเอล และได้ชื่อว่า เป็นทะเลสาบที่ไม่มีวันจม แต่ในเวลานี้ ทะเลสาบเดดซีกำลังจะตาย
สื่อ NPR ของสหรัฐฯ รายงานว่า ตลิ่งของทะเลสาบเดดซีกำลังถูกกัดเซาะพังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง และปริมาณน้ำก็ลดลงราว 1.2 เมตรทุกปี
ในขณะที่ขนาดของเดดซีลดลง มันก็เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์รอบๆของทะเลสาบที่เคยสวยงามและยิ่งใหญ่ ก้อนเกลือผุดขึ้นมาในจุดที่น้ำแห้ง แต่ในขณะเดียวกัน บริเวณชายฝั่งและที่จอดรถกลับกลายเป็นหลุมลึกยุบลงไปหลายจุด
รายงานระบุว่า นอกจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศแล้ว ทะเลสาบเดดซียังเผชิญวิกฤตเพราะน้ำมือของมนุษย์
ในช่วงปลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งอิสราเอล จอร์แดน และซีเรีย มีการเปลี่ยนทิศทางแหล่งน้ำจืดที่แต่เดิมเคยหล่อเลี้ยงเดดซี เพื่อนำไปใช้ในการอุปโภคบริโภค
ประกอบกับบริษัทหลายแห่งใช้น้ำจากเดดซีไปที่อุดมไปด้วยวิตามินเพื่อการส่งออกจำหน่าย จึงทำให้ปริมาณน้ำลดลง
นอกจากนี้ ยังเผชิญกับปัญหาโรงแรมหรือรีสอร์ทแห่งต่างๆที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ นำโคลนจากทะเลสาบไปใช้เพื่อการบำรุงผิวให้ลูกค้าอีกด้วย
แม้มีการเสนอวิธีแก้ปัญหามากมาย แต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างเป็นจริงเป็นจัง และปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและโลกร้อน ก็ยิ่งทำให้สภาพของเดดซีย่ำแย่ขึ้นกว่าเดิม
4.หมู่เกาะกาลาปากอส
หมู่เกาะกาลาปากอส ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศเอกวาดอร์ ที่นี่คือห้องแล็บธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ของชาร์ลส์ ดาร์วิน แต่สำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า ขณะนี้ ในยุคของโลกร้อน ธรรมชาติต่างๆกำลังได้รับผลกระทบ แต่สัตว์หลายสายพันธุ์บนหมู่เกาะสวรรค์แห่งนี้กำลังสูญพันธุ์
เมื่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้มหาสมุทรทั่วโลกร้อนขึ้น หมู่เกาะแห่งนี้กลายเป็นเหมือนภาชนะที่ตั้งอยู่บนเตาหลอม บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างเป็นกังวล โดยเฉพาะเมื่อปรากฏการณ์เอลนีโญ่ทำให้น้ำทะเลร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลการวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ในปี 2014 พบว่า นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศหลายสิบคนออกมาเตือนเรื่องอุณหภูมิน้ำทะเลกำลังสูงขึ้น ทำให้ปรากฏการณ์เอลนีโญ่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น
องค์การยูเนสโกถึงขั้นออกมาเตือนว่า หมู่เกาะกาลาปากอสเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมากที่สุด
5.แอนตาร์กติกา ขั้วโลกใต้
ทวีปแอนตาร์กติกา หรือขั้วโลกใต้ ล้อมโดยมหาสมุทรใต้ มีพื้นที่มากกว่า 14 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นทวีปที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ที่นี่กำลังเผชิญกับสถานการณ์น้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ปัญหาการละลายอย่างรวดเร็วของแผ่นน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันตกอาจจะเป็นปัญหาที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว
เนื่องด้วยภาวะโลกร้อนจากน้ำมือของมนุษย์ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสถานการณ์ดังกล่าวก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้น
แม้ว่าโลกของเราจะมีการตั้งเป้าหมายเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ แต่ทางตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกาก็ยังคงจะต้องเผชิญกับน้ำทะเลในมหาสมุทรร้อนขึ้น และแผ่นน้ำแข็งละลายอยู่ดี
เนื้อหาที่น่าสนใจ