svasdssvasds

จะเป็นอย่างไร ถ้ามีการเก็บภาษีเนื้อ ราคาอาหารสูงขึ้น เพื่อลดโลกร้อน

จะเป็นอย่างไร ถ้ามีการเก็บภาษีเนื้อ ราคาอาหารสูงขึ้น เพื่อลดโลกร้อน

ภาษีเนื้อ กำลังเป็นที่ถกเถียงในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ต่างประเทศ ว่าอาจจะช่วยให้เราลดภาวะโลกร้อนได้ แต่จะทำให้อาหารมีราคาสูงขึ้น แต่จะทำอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม?

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน การทำปศุสัตว์กำลังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเลี้ยงปศุสัตว์และการปลูกพืชผลต่าง ๆ เพื่อมาเป็นอาหารให้กับพวกมัน ได้ทำลายพื้นที่ป่าเขตร้อนและฆ่าสัตว์ป่าไปมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพราะมีการใช้พื้นที่ป่ามากขึ้นทุกวัน อีกทั้งการเลี้ยงสัตว์ยังก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษจำนวนมาก

ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมนี้มีผลต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศและการรักษาระบบนิเวศ เพื่อให้โลกกลับมาปลอดภัยจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น

แต่มันก็เป็นเรื่องที่ยาก หากเราจะไม่ทานเนื้อสัตว์หรือผลผลิตจากสัตว์เลย เรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ เพราะอุตสาหกรรมนี้ก็ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  และยังมีสถิติในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากอยู่

สัตว์ที่กินกันปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อลดการปล่อยมลพิษ ชะลอความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมไปถึงเพื่อให้ประชากรมีอาหารได้บริโภคอย่างปลอดภัยต่อไป จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตและการบริโภคเนื้อสัตว์และผลผลิตจากสัตว์ด้วย 

แน่นอนว่าในปัจจุบัน ตลาดมีการพัฒนาสำหรับทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว เช่น เบอร์เกอร์ที่ทำจากพืช ที่ทำให้การทานเนื้อสัตว์มีความแปลกใหม่ ลดการทานเนื้อสัตว์ได้มากขึ้น ทว่าในหลายประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร อัตราการบริโภคเนื้อสัตว์ไม่ได้ลดลงมากพอในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้จะมีตัวเลือกดังกล่าวก็ตาม ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมการปล่อยมลพิษทางการเกษตรได้

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

และสังเกตหรือไม่ว่า แม้ว่าราคาของเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แม้จะสูงขึ้นหรือต่ำลง แต่ก็ยังคงมีอัตราการบริโภคที่คงที่ หรืออาจจะสูงขึ้น ไม่มีต่ำลง เพราะมันกลายเป็นการบริโภคขั้นพื้นฐานมานานแล้ว

ดังนั้นจึงการมีแนวคิดจากนักวิทย์และนักเศรษฐศาสตร์ว่า ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ที่น่าเป็นไปได้มากที่สุดคือ การเก็บภาษีโดยตรง สำหรับเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (Meat Tax) งานวิจัยล่าสุดที่ได้ตีพิมพ์ลงในบทวิจารณ์เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและเนื้อสัตว์ งานวิจัยกล่าวว่า

คำนวณภาษีอย่างไร?

“การคำนวณของเรา แนะนำว่า ราคาขายปลีกเฉลี่ยสำหรับเนื้อสัตว์ในประเทศที่มีรายได้สูงจะต้องเพิ่มขึ้น 35%-56% สำหรับเนื้อวัว 25% สำหรับสัตว์ปีก และ 19% สำหรับเนื้อแกะและเนื้อหมู การทำอย่างนี้จะเป็นการสะท้อนต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมจากการผลิต สำหรับในสหราชอาณาจักรราคาเฉลี่ยของสเต็กเนื้อขนาด 200 กรัมจะอยู่ที่ประมาณ 2.80 ปอนด์ (118 บาท) แต่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเพิ่มเป็น 3.80 – 4.30 ปอนด์แทน (160-180 บาท/200 กรัม)”

แต่งานวิจัยของเรายังพบอีกว่า ภาษีเนื้อสัตว์ หากดำเนินการอย่างถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกดดันภาคครัวเรือนที่มีฐานะยากจน หรือกดดันอุตสาหกรรมเกษตรให้ต้องปรับตัว

จะเป็นอย่างไร ถ้ามีการเก็บภาษีเนื้อ ราคาอาหารสูงขึ้น เพื่อลดโลกร้อน

ก่อนที่ราคาอาหารจะพุ่งขึ้น หลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย แนวคิดเรื่องภาษีเนื้อยังถูกรัฐมนตรีเกษตรประเทศต่าง ๆ เช่น เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์คร่ำครวญ เพราะเรื่องภาษีเนื้อเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็คิดไม่ถึงสำหรับการเมืองในปัจจุบัน เรายังคงยืนยันว่า ภาษีที่สูงขึ้นของเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการเกษตรในระดับที่จำเป็นเพื่อลดอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส

การวิเคราะห์ของเราแสดงให้เห็นว่า การกระจายรายได้จากภาษีการขายเนื้อและผลิตภัณฑ์จากสัตว์อย่างเท่าเทียมกันของประชากรทั่วโลก ในรูปแบบการจ่ายเงินก้อนอย่างสม่ำเสมอช่วงปลายปี ซึ่งบางครั้ง คนที่มีรายได้น้อยอาจมีเงินมากกว่าเดิม จากการปฏิรูปภาษีนี้

เรื่องนี้อยู่ที่ว่า ผู้คนจะยอมจ่ายค่าชดเชยนี้หรือไม่ เพราะมันจะทำให้ผลิตภัณฑ์และสินค้าเกี่ยวกับสัตว์มีราคาที่สูงขึ้น การวิจัยจากบริติชโคลัมเบียในแคนาดาแสดงให้เห็นว่าการคืนเงินที่ได้จากภาษีคาร์บอนให้กับประชาชนไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปริมาณการปล่อยมลพิษของจังหวัด (ระหว่าง 5% ถึง 15%) การทำเนื้อให้มีราคาค่อนข้างแพงน่าจะสนับสนุนให้ผู้คนนำเงินไปใช้จ่ายที่อื่น

หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ เมื่อราคาแพงขึ้น การบริโภคก็มีน้อยลง และคนจะหันเหไปบริโภคอย่างอื่นแทน รวมไปถึงรายได้ภาษีส่วนหนึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเงินอุดหนุนสำหรับการปลูกผัก ธัญพืช และโปรตีนทางเลือกหรือช่วยให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยสามารถใช้จ่ายอาหารในชีวิตประจำวันได้

เช่นเดียวกับเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมจะต้องมีราคาแพงมากขึ้น อาหารจากพืชที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนก็ควรมีราคาที่จับต้องได้ การใช้รายได้จากภาษีเนื้อสัตว์เพื่อลดภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผลไม้ ผัก และธัญพืช สามารถให้การบรรเทาทุกข์ที่จำเป็นมากแก่ครัวเรือนที่ยากจนในช่วงวิกฤตค่าครองชีพ ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้ทุกคนลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์

เรื่องนี้จะทำให้ใครเสียเปรียบหรือเปล่า?

กฎระเบียบประเภทอื่นๆ เช่น กฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าในการจัดการอาหารสัตว์หรือมูลสัตว์อย่างยั่งยืน เสี่ยงต่อการทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์ในประเทศเสียเปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากต่างประเทศที่ไม่ได้รับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ นี่คือเหตุผลที่รูปแบบ "การปรับพรมแดน" ตามที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า จำเป็นต้องรวมผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศด้วย

ภาษีที่เรียกเก็บจากบริษัทที่ขายเนื้อสัตว์ ซึ่งรวมถึงร้านอาหาร ร้านกาแฟ และซูเปอร์มาร์เก็ต ในประเทศหนึ่งๆ จะจับผู้ผลิตเนื้อสัตว์ทั้งหมด การวิจัยอื่น ๆ ระบุว่าโดยทั่วไปผู้บริโภคจะสนับสนุนภาษีสิ่งแวดล้อมในลักษณะนี้มากกว่า หากพวกเขาค่อยๆ ลดอัตราภาษีลงในช่วงแรก

รายได้บางส่วนจากภาษีสามารถมอบให้กับเกษตรกรได้โดยตรง ทำให้พวกเขาได้รับผลกำไรที่สูงกว่าเมื่อก่อน สิ่งนี้สามารถจ่ายได้ตามงานของพวกเขาในการดูแลที่ดิน ฟื้นฟูที่อยู่อาศัยหรืออาจช่วยให้พวกเขาลงทุนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่แหล่งรายได้ใหม่ เช่น การผลิตเนื้อสัตว์ออร์แกนิกคุณภาพสูงจากฝูงสัตว์ที่มีความหนาแน่นต่ำ ซึ่งเมื่อบริโภคในปริมาณที่ต่ำกว่ามาก อาจยังคงเข้ากันได้กับเป้าหมายการปล่อยมลพิษ

การทำตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อทำให้อาหารจากพืชมีราคาจับต้องได้และการทดแทนเนื้อสัตว์ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นจะเป็นการปูทางไปสู่อนาคตที่อาจทำให้เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมมีราคาแพงกว่ามาก ข่าวดีก็คือ เมื่อถึงเวลาแล้ว ภาษีเนื้อสัตว์สามารถช่วยให้เรากินได้ดีขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง

หากดำเนินการอย่างถูกต้อง ภาษีเนื้อสัตว์สามารถปกป้องสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาอนาคตที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์ ตลอดจนอาหารที่มีราคาไม่แพงและยั่งยืนสำหรับทุกคน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ก่อให้เกิดการตัดไมทำลายป่าเยอะมาก โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร สรุปโดยผู้เขียน

การมีภาษีเนื้อ อาจจะดำเนินการลำบากอยู่มาก ในด้านของกระบวนการแก้ไขปัญหาแบบทางเลือกสำหรับภาวะโลกร้อน การทานเนื้อสัตว์ในปัจจุบันเสมือนกับเสื้อผ้าที่ต้องมีอยู่ในชีวิตประจำวัน และยากมากที่จะให้คนหันไปสนใจผลิตภัณฑ์อื่นๆ เหมือนกลุ่มคนที่ไม่ทานเนื้อ แต่การเก็บภาษีแม้จะทำให้ราคาอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์สูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การจัดการภาษีจึงยังเป็นเรื่องที่ต้องหารือวิธีการชักจูงและการจ่ายอย่างเท่าเทียม

แต่ในทางกลับกัน การมีภาษีเนื้อจะทำให้เราลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงไปได้เยอะ รวมไปถึงลดการขยายตัวของฟาร์มปศุสัตว์ แถมภาษีที่เก็บมาได้นั้น สามารถนำไปให้เกษตรกรหรือผู้มีรายได้น้อยใช้จ่ายเพื่อพัฒนาการเกษตรให้ดีมากขึ้น หรืออาจหันเหไปสร้างอาชีพใหม่ เช่น การปลูกพืชออร์แกนิก รวมไปถึงใช้จ่ายเรื่องที่ดินด้วย

คุณล่ะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?

ที่มาข้อมูล

https://theconversation.com/a-meat-tax-is-probably-inevitable-heres-how-it-could-work-188023

related