AI และ หุ่นยนต์ Automations ทางเลือกทางรอดของร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่น ที่กำลังขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก เพราะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมานาน แม้จะใช้แรงงานต่างด้าวก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้
สำหรับคนที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น คงจะชินตากับภาพผู้สูงอายุในชุมชน หรือแม้กระทั่งทำงานตามร้านต่างๆมากกว่าเมืองไทยอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากญี่ปุ่นมีอัตราการแต่งงานและอัตราการเกิดต่ำ ทำให้สัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น จนก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ที่ผ่านมา รัฐบาลและเอกชนได้แก้ปัญหา ด้วยการเปิดรับแรงงานบางส่วนจากต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้มากนัก โดยเฉพาะเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ ที่ต้องใช้พนักงานทั้งส่วนสนับสนุนและส่วนบริการจำนวนมาก ทำให้ต้องปรับตัว ด้วยการใช้ระบบ AI และ Automations ต่างๆ มาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดการพึงกำลังคนมากขึ้น
สื่อมวลชนญี่ปุ่นรายงานว่า Seven-Eleven Japan (7-11 Japan) ซึ่งเป็นเครือร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ จะเริ่มเปิดดำเนินการร้านขนาดเล็กๆ ที่ไม่มีพนักงานหน้าร้านในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ โดยเน้นสถานที่ซึ่งในอดีตเปิดได้ยาก เช่น คอนโดมิเนียมทาวเวอร์ และภายในโรงงาน
โดยลูกค้าจะใช้แอปเฉพาะเพื่อสแกนโค้ด QR เมื่อเข้าไปในร้าน ซึ่งจะสามารถอ่านบาร์โค้ดของสินค้าที่ต้องการซื้อด้วยสมาร์ทโฟนของตนเอง และชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือวิธีการชำระเงินอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดที่เครื่องชำระเงิน ร้านค้าจะมีพื้นที่ประมาณ 50 ตารางเมตร ซึ่งเล็กกว่าร้านทั่วไปที่มีพื้นที่ 200 ตารางเมตรมาก นอกจากข้าวปั้นและขนมปังแล้ว ยังมีอาหารกลางวันแบบกล่องแช่เย็นและของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงกาแฟสดอีกด้วย ทำให้แต่ละสาขาจะดำเนินการโดยพนักงานคนเดียว ซึ่งจะรับผิดชอบงานต่างๆ เช่น การเก็บสต๊อกสินค้าและการสั่งซื้อ ปัจจุบันเปิดดำเนินการร้านค้าทดลองบางแห่งในโตเกียวและโอซาก้า และได้เริ่มการเจรจากับบริษัทที่สนใจจะติดตั้งร้านค้าในสถานที่ของตน มีเป้าหมายที่จะมีร้านค้าหลายสิบแห่งในญี่ปุ่นในปีนี้
ส่วน FamilyMart ซึ่งเป็นเครือร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ได้เริ่มใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้น โดยจะดำเนินการ 300 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ถือเป็นครั้งแรกสำหรับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ในญี่ปุ่นหลังจากเปิดตัวหุ่นยนต์ในร้านค้าบางแห่งในช่วงปลายเดือนมกราคม
หุ่นยนต์แต่ละตัวจะทำความสะอาดพื้น 5 ครั้งต่อวัน ซึ่งเป็นงานที่พนักงานต้องทำ 3 ครั้งต่อวัน รวมเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้พนักงานมีเวลามากขึ้นในการทำงานต่างๆ เช่น การจัดชั้นวางสินค้าและการฝึกอบรม
หุ่นยนต์แต่ละตัวยังมีสิ่งของขายและมีจอภาพที่แสดงข้อมูลผลิตภัณฑ์และโฆษณา โดยมีมีเซ็นเซอร์ประมาณ 20 ตัว เพื่อป้องกันการชนกับลูกค้าและชั้นวาง
นอกจากนี้ FamilyMart กำลังเร่งขยายร้านค้าไร้พนักงาน ไปยังร้านค้ามากกว่า 30 แห่งทั่วประเทศโดยใช้ระบบที่พัฒนาโดย Touch to Go ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินแบบไร้พนักงานด้วยเช่นกัน
ส่วน Lawson ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสาม กำลังใช้ AI จากบริษัท DataRobot ของสหรัฐอเมริกา เพื่อค้นหาวิธีทำให้อุปทานตอบสนองความต้องการตั้งเป้าที่จะลดการมีผลิตภัณฑ์มากเกินไปลง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทมีแผนลดขยะอาหารลง 50 เปอร์เซ็นต์จากระดับปี 2561 ภายในปี 2573 เนื่องจากต้นทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของร้าน Lawson คือการกำจัดขยะอาหาร ต้นทุนสูงสุดคือค่าแรง ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่เพิ่มขึ้น บริษัทจึงได้เปิดตัวเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานที่อยู่ห่างไกล สามารถให้บริการลูกค้าโดยใช้อวตารแบบเคลื่อนไหวได้ โดยพนักงานที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านหรือที่ทำงานจะทำหน้าที่เป็น Lawson Avatar Operators (LAO) เพื่อให้บริการลูกค้าพูดคุยผ่านเว็บแคม เสียงและท่าทางของพวกเขาจะสะท้อนให้เห็นบนตัวละครที่เคลื่อนไหวได้บนหน้าจอที่ร้าน ปัจจุบัน LAO ดำเนินงานอยู่ที่ร้านค้าในเครือสี่แห่งในโตเกียว โอซาก้า และที่อื่นๆ
Lawson มองว่าพนักงานประจำร้านในร้านค้าที่ใช้ระบบใหม่นี้เหล่านี้ จะสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่ต้องออกแรงทางกายภาพ เช่น การทำอาหาร ทำความสะอาด และจัดเก็บชั้นวาง ในขณะที่ LAO ช่วยเหลือลูกค้า เช่น ใช้เครื่องชำระเงินด้วยตนเอง ซึ่งจะเริ่มทดลองใช้งานเพื่อดูว่า LAO เพียงแห่งเดียวสามารถจัดการกับสาขา 3 หรือ 4 แห่งตลอดวัน รวมถึงช่วงดึกและช่วงเช้าที่มีพนักงานน้อยได้หรือไม่ โครงการนำร่องจะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถรับบัตรเข้าชมงานที่ซื้อทางออนไลน์และส่งพัสดุที่ร้าน Lawson ต่อไปได้ โดยบริการดังกล่าวยังคงเป็นหน้าที่ของพนักงานที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องชำระเงินด้วยตนเอง เทคโนโลยีอวาตาร์คาดว่าจะช่วยให้ร้านค้ามีพนักงานน้อยลง
เมื่อมองไปที่พัฒนาการของร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นแล้ว ก็น่าจะคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า สถานการณ์ขาดแคลนแรงงานในไทย ก็คงจะก้าวเดินตามรอยญี่ปุ่นในไม่ช้า การเตรียมการปรับตัวใช้เทคโนโลยีเพื่อรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงน่าจะเป็นสิ่งที่แต่ละองค์กรต้องทำไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
ที่มา
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ